ศูนย์ข่าวภูเก็ต-"เกาหลี" เป็นอีกกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่แต่ละปีเดินทางเข้ามาที่ภูเก็ตเป็นจำนวนมาก โดยที่ผ่านมารายได้จากกรุ๊ปทัวร์เหล่านี้ตกถึงมือคนไทยเต็มๆ แต่วันนี้ คนเกาหลีเห็นช่องโหว่ของกฎหมายไทย ดาหน้าเจ้ามาผุดธุรกิจมากมาย เพื่อกอบโกยรายได้เข้ากระเป๋าตัวเองและขนเงินกลับประเทศ
ในจำนวนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เดินทางเข้ามาภูเก็ต พบว่านักท่องเที่ยวจาก"เกาหลี" เดินทางเข้ามาติดอันดับต้นๆ มาโดยตลอด ครองแชมป์อยู่ในอันดับ 1 - 5 สลับกับนักท่องเที่ยวจากจีน รัสเซีย ออสเตรเลีย มาเลเซีย
ในปี 2555 ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเกาหลีเข้าภูเก็ตประมาณ 218,387 คน และช่วงไตรมาสแรกปี 2556 มีเกาหลีเดินทางเข้าภูเก็ตแล้ว 54,958 คน จากนักท่องเที่ยวเกาหลีที่เข้าประเทศไทยทั้งหมด 34,000 กว่าคน โดยที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภูเก็ต หรือสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตไม่ต้องเดินทางไปทำตลาดส่งเสริมการขายที่ประเทศเกาหลีใต้เหมือนตลาดอื่นๆ หลายคนคงสงสัยว่าแล้วคนเกาหลีรู้จักสินค้าทางการท่องเที่ยวของภูเก็ตได้อย่างไร
เกาหลีก็เหมือนกับนักลงทุนรัสเซีย และจีน ที่เข้ามาขุดทองในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ทำธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรเป็นชาติแรกๆ จนกลายเป็นต้นแบบให้ชาวต่างชาติกลุ่มอื่นๆเข้ามาทำธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรเช่นเดียวกันทั้งรัสเซีย และจีน
แหล่งข่าวรายในวงการท่องเที่ยวภูเก็ตรายหนึ่ง ระบุว่า กลุ่มเกาหลีเข้ามาภูเก็ตตั้งแต่ประมาณ ปี 2537 - 2538 ซึ่งการเข้ามาของเกาหลีในช่วงเริ่มต้นบริษัททัวร์จากเกาหลีได้ส่งนักท่องเที่ยวให้บริษัททัวร์เกาหลีที่เข้ามาตั้งบริษัทในภูเก็ต ช่วงแรกๆ มีเพียงไม่กี่บริษัท
แต่หลังจากที่นักท่องเที่ยวเกาหลีเข้ามาเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับต้นๆ โดยที่คนไทยไม่ต้องเดินทางไปทำตลาดส่งเสริมการขายในเกาหลีเลย ทำให้คนเกาหลีที่เข้ามาปักหลักทำธุรกิจในภูเก็ตหันมาเปิดบริษัททัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านนวด ร้านสปา โรงแรม มากขึ้น ซึ่งเป็นการทำธุรกิจแบบครบวงจร
ทั้งนี้ มีบริษัททัวร์รายใหญ่ที่บริหารงานโดย “มิสเตอร์ ค.” เป็นคนควบคุมและกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานของบริษัททัวร์ของคนเกาหลีด้วยกัน รวมทั้งเป็นคนกำหนดโปรแกรมทัวร์ให้บริษัทเหล่านั้น จนถึงขั้นใช้คนเกาหลีมาทำหน้าที่ไกด์แทน ไม่ให้คนไทยเป็นไกด์ โดยมี “นาย อ.” ซึ่งเป็นคนไทยคอยประสานงานติดต่อและจัดหาไกด์คนไทยมาทำหน้าที่ซิตติงไกด์(มัคคุเทศก์ที่นั่งประจำในรถ มีเอกสารถูกต้อง แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ไกด์ เพื่อป้องกันการตรวจตรวจจับของเจ้าหน้าที่)
พร้อมหักหัวคิวจากค่าจ้างวันละ 500 บาท หักหัวคิว 300 บาท เหลือตกถึงซิตติงไกด์คนไทยเพียง 200 บาท รวมทั้งถ้าชิตติ้งไกด์คนไทยคนใดออกมาต่อต้าน ก็จะถูกหมายหัวขึ้นบัญชีดำ โดยส่งชื่อไปที่ยังบริษัททัวร์ต่างๆ ในกลุ่มเกาหลี ไม่ให้จ้างไกด์คนไทยคนนั้นๆทำงานอีกต่อไป จนไกด์ไทยทนไม่ไหวลุกฮือต้านไกด์เถื่อนเกาหลี
**ไกด์ไทยฮือต้านไกด์เถื่อนเกาหลี
จนเป็นที่มาของ MOU อัปยศ**
หลังจากถูกบีบคั้นอย่างหนัก ไกด์คนไทยภาษาเกาหลี ก็ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของไกด์คนไทย ที่ถูกไกด์เถื่อนชาวเกาหลีแย่งงาน ซึ่งการรวมตัวยื่นหนังสือของไกด์คนไทยนั้นเกิดขึ้นหลายครั้งจนเป็นที่มาของการนัดเจรจาระหว่างหน่วยงานด้านท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต ตัวแทนไกด์ไทย บริษัททัวร์เกาหลี ที่พยายามจะตั้งตัวเป็นสมาคมนักธุรกิจเกาหลี โดยมิสเตอร์ ค. และมีนาย อ.เป็นตัวประสานงาน
บริษัททัวร์เกาหลีอ้างสาเหตุที่ไม่จ้างคนไทยเป็นไกด์ว่า คนไทยไม่สามารถพูดภาษาเกาหลีที่สามารถสื่อสารกับคนเกาหลีได้ ถึงมีก็มีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงขอให้คนเกาหลีเข้ามาทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาก่อน 2 ปี และในขณะที่ให้คนเกาหลีเข้ามาทำหน้าที่เป็นล่ามนั้น ในส่วนของหน่วยงานราชการไทยก็ให้จัดอบรมไกด์ภาษาเกาหลีขึ้น ซึ่งจังหวัด และ ททท.ก็ตกลง และมีการลงนามในข้อตกลง MOU อัปยศขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งกลางเมืองภูเก็ต
การลงนามความร่วมมือดังกล่าวทำให้คนเกาหลีเข้ามาปักหลักทำมาหากินในภูเก็ตมากขึ้นในหน้ที่ล่ามนำเที่ยว จนปัจจุบันนี้มีเกาหลีที่เข้ามาทำงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจำนวนมาก โดยจะเช่าบ้านอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ และเข้ามาอาศัยกันเป็นครอบครัว
**เกาหลีขนเงินกลับบ้านเมืองไทยได้แค่ 5-10%
แหล่งข่าวระบุอีก ว่า ปัจจุบันเกาหลีเข้ามาทำธุรกิจทุกอย่างแบบครบวงจร โดยที่รายได้ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับชาวเกาหลีเอง และมีรายได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ตกถึงมือคนไทย ซึ่งไม่น่าจะเกิน 5 -10 % ของรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากทัวร์เกาหลี นอกจากนั้นในเรื่องของภาษีคนเหล่านี้ไม่ได้จ่ายภาษีให้กับประเทศไทยเลย ทำให้คนไทยเสียผลประโยชน์มหาศาล
สำหรับธุรกิจที่คนเกาหลีเข้ามาลงทุนทำมีหลายอย่าง เช่น บริษัทนำเที่ยว เคาน์เตอร์ทัวร์ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายยา ร้านขายที่นอนยางพารา ร้านอินเทอร์เน็ต บริการนวด สปา ร้านจิวเวอร์รี่ โชว์สาวประเภทสอง โชว์งู สนามมวย ซึ่งนักท่องเที่ยวเกาหลีที่เข้ามาจะต้องไปใช้บริการของร้านเหล่านี้ทั้งหมด ไม่สามารถที่จะไปร้านอื่นได้เพราะมีการกำหนดไว้ในโปรแกรมทัวร์แล้ว ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ทั้งหมดจะเป็นเครือข่ายเดียวกัน เช่น ถ้าสามีทำทัวร์ ภรรยาก็จะเปิดร้านอาหาร หรือ ร้านสปา ร้านนวด ร้านขายของที่ระลึก เพื่อรับลูกค้าจากบริษัททัวร์
นอกจากนั้น คนเกาหลียังทำไปถึงขั้นการปล่อยเงินกู้ โดยการปล่อยเงินกู้ให้กับชาวเกาหลีด้วยกัน เปิดร้านขายข้าวแกง โดยมีคนไทยหรือคนพม่าเป็นคนทำและขาย แหล่งข่าวระบุว่า สามารถไปตรวจสอบได้ที่ตลาดมุมเมือง ในเขตอำเภอเมืองภูเก็ต ที่ร้ายแรงไปกว่านั้น คือ การจับมือกันของคนเกาหลี และคนรัสเซียทำธุรกิจหลายอย่าง เช่น การลงทุนทำร้านขายของที่ระลึก บริเวณถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ผุดขึ้นทุกมุมเมืองของจังหวัดภูเก็ต ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งในตัวเมือง และนอกเมือง
เช่น ร้านจำหน่ายที่นอนยางพารา ที่หันไปทางไหนของภูเก็ตก็จะพบเจอได้ในถนนทุกสาย ซึ่งมีอยู่หลาย 10 ร้าน พบว่ามีคนมีสีถือหุ้นลมด้วยเกือบทุกร้าน ซึ่งร้านเหล่านี้สามารถทำร้ายได้ปีหนึ่งมหาศาล แต่ผลประโยชน์ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนไทยส่วนใหญ่
**"เสี่ย ป.” รับเคลียร์ทุกปัญหาเกาหลี
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าว ระบุว่า การที่คนเกาหลีจะเข้ามาทำธุรกิจครบวงจรแบบสะดวกโยธินได้ก็ต้องอาศัยคนไทยในการช่วยดำเนินการ ทั้งที่เป็นนอมินีในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท และเป็นนายหน้ารับเคลียร์ทุกปัญหา ในส่วนของการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกิจและการค้าจังหวัดภูเก็ตพบว่ามีชาวเกาหลีถือหุ้นในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทมากถึง 171 บริษัท โดยมีทั้งบริษัทนำเที่ยว ร้านอาหาร ภัตตาคาร สปา ร้านจิวเวอร์รี่ และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัททั้งที่ทำโดยถูกต้อง และไม่ถูกต้องแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเดินหน้าไปได้อย่างสะดวกโยธินแบบไร้ปัญหาจุกจิกกวนใจ ก็ต้องมีคนประสานงานรับหน้าเคลียร์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แหล่งข่าวระบุว่าปัจจุบันนายหน้ารับเคลียร์ปัญหาของคนเกาหลี ตอนนี้ไม่ใช่นาย อ.แล้ว แต่เป็น “เสี่ย ป.” ที่สามารถเข้าถึงทุกวงการราชการ เคลียร์ทุกเรื่องที่เกิดปัญหากับคนเกาหลี ซึ่งรวมไปถึงปัญหาของคนรัสเซียด้วย
ฉะนั้น การแก้ปัญหาต่างชาติ ที่เข้ามาทำธุรกิจแบบครบวงจร เงินทองไม่รั่วไหลให้คนในพื้นที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะนอกจากรัสเซีย และเกาหลีแล้ว อีกชาติหนึ่งที่จะต้องจับตาเป็นพิเศษ คือการเข้ามาทำธุรกิจของคนจีนที่นับวันก็จะเดินตามรอย เกาหลี จีน แต่ที่ทำลายชื่อเสียงของจังหวัดภูเก็ตอยู่ในขณะนี้ คือ ยึดวัด สร้างเรื่องหลอกขายพระให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนด้วยกัน โดยอาศัยความเชื่อ ความศัทธาในพุทธศาสนา เป็นแหล่งทำมาหากินหาเงินเข้ากระเป๋า กระจายไปตามวัดต่างๆ ในภูเก็ต ทั้งในเขตอำเภอเมือง และอำเภอกะทู้ ไม่ต่ำกว่า 3 วัด ทำธุรกิจแบบพุทธพาณิชย์
แต่สิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งดีเอสไอ ที่จะลงมาแก้ปัญหามาเฟียต่างชาติที่ภูเก็ตในวันที่ 25 ก.ค.จะต้องคำนึงให้มากที่สุดคือการจัดการกับตัวปัญหาจริงๆ คือคนที่อาศัยช่วงโหว่ของกฎหมายเข้าไป สนับสนุน ช่วยเหลือ ชาวต่างชาติ ให้สามารถหลีกเลี่ยงกฎหมายได้ เพราะลำพังเพียงคนต่างชาติเองคงไม่สามารถทำได้ขนาดนี้
ในจำนวนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เดินทางเข้ามาภูเก็ต พบว่านักท่องเที่ยวจาก"เกาหลี" เดินทางเข้ามาติดอันดับต้นๆ มาโดยตลอด ครองแชมป์อยู่ในอันดับ 1 - 5 สลับกับนักท่องเที่ยวจากจีน รัสเซีย ออสเตรเลีย มาเลเซีย
ในปี 2555 ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเกาหลีเข้าภูเก็ตประมาณ 218,387 คน และช่วงไตรมาสแรกปี 2556 มีเกาหลีเดินทางเข้าภูเก็ตแล้ว 54,958 คน จากนักท่องเที่ยวเกาหลีที่เข้าประเทศไทยทั้งหมด 34,000 กว่าคน โดยที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภูเก็ต หรือสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตไม่ต้องเดินทางไปทำตลาดส่งเสริมการขายที่ประเทศเกาหลีใต้เหมือนตลาดอื่นๆ หลายคนคงสงสัยว่าแล้วคนเกาหลีรู้จักสินค้าทางการท่องเที่ยวของภูเก็ตได้อย่างไร
เกาหลีก็เหมือนกับนักลงทุนรัสเซีย และจีน ที่เข้ามาขุดทองในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ทำธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรเป็นชาติแรกๆ จนกลายเป็นต้นแบบให้ชาวต่างชาติกลุ่มอื่นๆเข้ามาทำธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรเช่นเดียวกันทั้งรัสเซีย และจีน
แหล่งข่าวรายในวงการท่องเที่ยวภูเก็ตรายหนึ่ง ระบุว่า กลุ่มเกาหลีเข้ามาภูเก็ตตั้งแต่ประมาณ ปี 2537 - 2538 ซึ่งการเข้ามาของเกาหลีในช่วงเริ่มต้นบริษัททัวร์จากเกาหลีได้ส่งนักท่องเที่ยวให้บริษัททัวร์เกาหลีที่เข้ามาตั้งบริษัทในภูเก็ต ช่วงแรกๆ มีเพียงไม่กี่บริษัท
แต่หลังจากที่นักท่องเที่ยวเกาหลีเข้ามาเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับต้นๆ โดยที่คนไทยไม่ต้องเดินทางไปทำตลาดส่งเสริมการขายในเกาหลีเลย ทำให้คนเกาหลีที่เข้ามาปักหลักทำธุรกิจในภูเก็ตหันมาเปิดบริษัททัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านนวด ร้านสปา โรงแรม มากขึ้น ซึ่งเป็นการทำธุรกิจแบบครบวงจร
ทั้งนี้ มีบริษัททัวร์รายใหญ่ที่บริหารงานโดย “มิสเตอร์ ค.” เป็นคนควบคุมและกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานของบริษัททัวร์ของคนเกาหลีด้วยกัน รวมทั้งเป็นคนกำหนดโปรแกรมทัวร์ให้บริษัทเหล่านั้น จนถึงขั้นใช้คนเกาหลีมาทำหน้าที่ไกด์แทน ไม่ให้คนไทยเป็นไกด์ โดยมี “นาย อ.” ซึ่งเป็นคนไทยคอยประสานงานติดต่อและจัดหาไกด์คนไทยมาทำหน้าที่ซิตติงไกด์(มัคคุเทศก์ที่นั่งประจำในรถ มีเอกสารถูกต้อง แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ไกด์ เพื่อป้องกันการตรวจตรวจจับของเจ้าหน้าที่)
พร้อมหักหัวคิวจากค่าจ้างวันละ 500 บาท หักหัวคิว 300 บาท เหลือตกถึงซิตติงไกด์คนไทยเพียง 200 บาท รวมทั้งถ้าชิตติ้งไกด์คนไทยคนใดออกมาต่อต้าน ก็จะถูกหมายหัวขึ้นบัญชีดำ โดยส่งชื่อไปที่ยังบริษัททัวร์ต่างๆ ในกลุ่มเกาหลี ไม่ให้จ้างไกด์คนไทยคนนั้นๆทำงานอีกต่อไป จนไกด์ไทยทนไม่ไหวลุกฮือต้านไกด์เถื่อนเกาหลี
**ไกด์ไทยฮือต้านไกด์เถื่อนเกาหลี
จนเป็นที่มาของ MOU อัปยศ**
หลังจากถูกบีบคั้นอย่างหนัก ไกด์คนไทยภาษาเกาหลี ก็ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของไกด์คนไทย ที่ถูกไกด์เถื่อนชาวเกาหลีแย่งงาน ซึ่งการรวมตัวยื่นหนังสือของไกด์คนไทยนั้นเกิดขึ้นหลายครั้งจนเป็นที่มาของการนัดเจรจาระหว่างหน่วยงานด้านท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต ตัวแทนไกด์ไทย บริษัททัวร์เกาหลี ที่พยายามจะตั้งตัวเป็นสมาคมนักธุรกิจเกาหลี โดยมิสเตอร์ ค. และมีนาย อ.เป็นตัวประสานงาน
บริษัททัวร์เกาหลีอ้างสาเหตุที่ไม่จ้างคนไทยเป็นไกด์ว่า คนไทยไม่สามารถพูดภาษาเกาหลีที่สามารถสื่อสารกับคนเกาหลีได้ ถึงมีก็มีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงขอให้คนเกาหลีเข้ามาทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาก่อน 2 ปี และในขณะที่ให้คนเกาหลีเข้ามาทำหน้าที่เป็นล่ามนั้น ในส่วนของหน่วยงานราชการไทยก็ให้จัดอบรมไกด์ภาษาเกาหลีขึ้น ซึ่งจังหวัด และ ททท.ก็ตกลง และมีการลงนามในข้อตกลง MOU อัปยศขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งกลางเมืองภูเก็ต
การลงนามความร่วมมือดังกล่าวทำให้คนเกาหลีเข้ามาปักหลักทำมาหากินในภูเก็ตมากขึ้นในหน้ที่ล่ามนำเที่ยว จนปัจจุบันนี้มีเกาหลีที่เข้ามาทำงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจำนวนมาก โดยจะเช่าบ้านอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ และเข้ามาอาศัยกันเป็นครอบครัว
**เกาหลีขนเงินกลับบ้านเมืองไทยได้แค่ 5-10%
แหล่งข่าวระบุอีก ว่า ปัจจุบันเกาหลีเข้ามาทำธุรกิจทุกอย่างแบบครบวงจร โดยที่รายได้ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับชาวเกาหลีเอง และมีรายได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ตกถึงมือคนไทย ซึ่งไม่น่าจะเกิน 5 -10 % ของรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากทัวร์เกาหลี นอกจากนั้นในเรื่องของภาษีคนเหล่านี้ไม่ได้จ่ายภาษีให้กับประเทศไทยเลย ทำให้คนไทยเสียผลประโยชน์มหาศาล
สำหรับธุรกิจที่คนเกาหลีเข้ามาลงทุนทำมีหลายอย่าง เช่น บริษัทนำเที่ยว เคาน์เตอร์ทัวร์ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายยา ร้านขายที่นอนยางพารา ร้านอินเทอร์เน็ต บริการนวด สปา ร้านจิวเวอร์รี่ โชว์สาวประเภทสอง โชว์งู สนามมวย ซึ่งนักท่องเที่ยวเกาหลีที่เข้ามาจะต้องไปใช้บริการของร้านเหล่านี้ทั้งหมด ไม่สามารถที่จะไปร้านอื่นได้เพราะมีการกำหนดไว้ในโปรแกรมทัวร์แล้ว ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ทั้งหมดจะเป็นเครือข่ายเดียวกัน เช่น ถ้าสามีทำทัวร์ ภรรยาก็จะเปิดร้านอาหาร หรือ ร้านสปา ร้านนวด ร้านขายของที่ระลึก เพื่อรับลูกค้าจากบริษัททัวร์
นอกจากนั้น คนเกาหลียังทำไปถึงขั้นการปล่อยเงินกู้ โดยการปล่อยเงินกู้ให้กับชาวเกาหลีด้วยกัน เปิดร้านขายข้าวแกง โดยมีคนไทยหรือคนพม่าเป็นคนทำและขาย แหล่งข่าวระบุว่า สามารถไปตรวจสอบได้ที่ตลาดมุมเมือง ในเขตอำเภอเมืองภูเก็ต ที่ร้ายแรงไปกว่านั้น คือ การจับมือกันของคนเกาหลี และคนรัสเซียทำธุรกิจหลายอย่าง เช่น การลงทุนทำร้านขายของที่ระลึก บริเวณถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ผุดขึ้นทุกมุมเมืองของจังหวัดภูเก็ต ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งในตัวเมือง และนอกเมือง
เช่น ร้านจำหน่ายที่นอนยางพารา ที่หันไปทางไหนของภูเก็ตก็จะพบเจอได้ในถนนทุกสาย ซึ่งมีอยู่หลาย 10 ร้าน พบว่ามีคนมีสีถือหุ้นลมด้วยเกือบทุกร้าน ซึ่งร้านเหล่านี้สามารถทำร้ายได้ปีหนึ่งมหาศาล แต่ผลประโยชน์ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนไทยส่วนใหญ่
**"เสี่ย ป.” รับเคลียร์ทุกปัญหาเกาหลี
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าว ระบุว่า การที่คนเกาหลีจะเข้ามาทำธุรกิจครบวงจรแบบสะดวกโยธินได้ก็ต้องอาศัยคนไทยในการช่วยดำเนินการ ทั้งที่เป็นนอมินีในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท และเป็นนายหน้ารับเคลียร์ทุกปัญหา ในส่วนของการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกิจและการค้าจังหวัดภูเก็ตพบว่ามีชาวเกาหลีถือหุ้นในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทมากถึง 171 บริษัท โดยมีทั้งบริษัทนำเที่ยว ร้านอาหาร ภัตตาคาร สปา ร้านจิวเวอร์รี่ และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัททั้งที่ทำโดยถูกต้อง และไม่ถูกต้องแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเดินหน้าไปได้อย่างสะดวกโยธินแบบไร้ปัญหาจุกจิกกวนใจ ก็ต้องมีคนประสานงานรับหน้าเคลียร์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แหล่งข่าวระบุว่าปัจจุบันนายหน้ารับเคลียร์ปัญหาของคนเกาหลี ตอนนี้ไม่ใช่นาย อ.แล้ว แต่เป็น “เสี่ย ป.” ที่สามารถเข้าถึงทุกวงการราชการ เคลียร์ทุกเรื่องที่เกิดปัญหากับคนเกาหลี ซึ่งรวมไปถึงปัญหาของคนรัสเซียด้วย
ฉะนั้น การแก้ปัญหาต่างชาติ ที่เข้ามาทำธุรกิจแบบครบวงจร เงินทองไม่รั่วไหลให้คนในพื้นที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะนอกจากรัสเซีย และเกาหลีแล้ว อีกชาติหนึ่งที่จะต้องจับตาเป็นพิเศษ คือการเข้ามาทำธุรกิจของคนจีนที่นับวันก็จะเดินตามรอย เกาหลี จีน แต่ที่ทำลายชื่อเสียงของจังหวัดภูเก็ตอยู่ในขณะนี้ คือ ยึดวัด สร้างเรื่องหลอกขายพระให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนด้วยกัน โดยอาศัยความเชื่อ ความศัทธาในพุทธศาสนา เป็นแหล่งทำมาหากินหาเงินเข้ากระเป๋า กระจายไปตามวัดต่างๆ ในภูเก็ต ทั้งในเขตอำเภอเมือง และอำเภอกะทู้ ไม่ต่ำกว่า 3 วัด ทำธุรกิจแบบพุทธพาณิชย์
แต่สิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งดีเอสไอ ที่จะลงมาแก้ปัญหามาเฟียต่างชาติที่ภูเก็ตในวันที่ 25 ก.ค.จะต้องคำนึงให้มากที่สุดคือการจัดการกับตัวปัญหาจริงๆ คือคนที่อาศัยช่วงโหว่ของกฎหมายเข้าไป สนับสนุน ช่วยเหลือ ชาวต่างชาติ ให้สามารถหลีกเลี่ยงกฎหมายได้ เพราะลำพังเพียงคนต่างชาติเองคงไม่สามารถทำได้ขนาดนี้