วานนี้ ( 24 ก.ค.) นายวิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ หัวหน้าพรรคพลังงานไทย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ดำเนินการตรวจสอบจริยธรรมนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ประกอบมาตรา 176 และมาตรา 279 กรณีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ที่รัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายที่เคยแถลงไว้ว่า จะไม่ขึ้นราคาพลังงาน
โดยนายวิวัฒน์ชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี เคยแถลงนโยบายไว้ว่า จะไม่ปรับขึ้นราคาพลังงาน แต่จากการเปรียบเทียบข้อมูลราคาแก๊สโซฮอล์ 95 กับสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อ ปี 2554 ปรากฏว่า ราคาน้ำมันเมื่อปี 2554 มีราคาเพียง 32 บาท แต่ปัจจุบันราคาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 41.30 บาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 26 แต่เมื่อเทียบราคาในประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันอยู่ที่ 128 เหรียญต่อบาเรล และปัจจุบันอยู่ 138 เหรียญต่อบาร์เรล ดังนั้นเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันในประเทศก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากถึงขนาดนี้ จึงเห็นได้ว่า ประชาชนน่าจะถูกโกง ถูกฉ้อฉลจากการคำนวนราคาน้ำมันที่อ้างอิงตลาดโลก อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี เคยประกาศว่า "ดิฉันจะกระชากราคาน้ำมัน" แต่ปรากฏว่า นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ราคาน้ำมันไม่เคยถูกกระชากลงเลย มีแต่ถูกดึงขึ้นตลอด จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะผู้ตรวจการฯ มีอำนาจโดยตรง แต่หากยังไม่เร่งพิจารณาประชาชนจะเกิดความเดือดร้อนในการแบกรับภาระจากการใช้น้ำมันแพง
ด้านนายรักษเกชาระบุว่า จะรีบเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการพิจารณาโดยเร็ว เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญและประชาชนก็ให้ความสนใจ
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา และเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า กรณี มาตรา 28 ของพ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ 2556 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ซึ่งระบุว่า หากโครงการใดจะต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน หรือต้องมีการก่อหนี้โดยการกู้ หรือคำประกันโดยกระทรวงการคลัง เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ เมื่อคณะกรรมการให้ความเห็นชอบหลักการของโครงการแล้วให้เสนอโครงการนั้นให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ โดยให้ถือว่าการอนุมัติของครม. เป็นการอนุมัติตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ว่าเข้าข่ายขัด หรือแย้งต่อรัฐรรมนูญ มาตรา 169 ที่กำหนดว่า การใช้จ่ายเงินแผ่นดินจะต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบระมาณ ซึ่งต้องมีการขออนุมัติต่อรัฐสภา หรือไม่ โดยทางสมาคมฯ เห็นว่า มาตรา 28 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนดังกล่าว รัฐบาลตราขึ้นโดยมีเจตนาที่จะใช้งบประมาณโดยหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากรัฐสภา เฉพาะอย่างยิ่งการใช้งบประมาณในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน และโครงลงทุนด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาทนั้น เมื่อครม.อนุมัติแล้วโดยปกติจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่เมื่อ มาตรา 28 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ มีผลบังคับใช้ คิดว่ารัฐบาลจะตีความว่าทั้ง 2 โครงการเข้าหลักการของพ.ร.บ.ฉบับนี้ แล้วก็ไม่ต้องนำไปขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
ด้านนายรักษเกชา กล่าวว่า จะรีบนำเสนอทั้ง 2 ประเด็น ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา แม้ก่อนหน้านี้จะมีการยื่นเรื่องของให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบกฎหมายฉบับนี้ แต่ขณะนั้นยังเป็นร่างกฎหมาย ประกอบกับมีกับมีการร้องกันไปมาของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทำให้การดำเนินการตามคำร้องของผู้ตรวจฯ ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ขณะนี้กฎหมายดังกล่าวเป็นพระราชบัญญัติ มีผลใช้บังคับแล้ว และคำร้องมีความชัดเจน คาดว่าการดำเนินการจะใช้เวลาไม่นาน
ในวันเดียวกันนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาเศรษฐกิจ และกมธ.พลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมประชุมเพื่อพิจารณาการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) โดยมีนายชนินทร์ รุ่งแสง สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และประธานกมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ ทำหน้าที่ประธาน และนางอาณิก อัมระนันทน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานกมธ.พลังงาน ทำหน้าที่รองประธานการประชุมโดยได้เชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินัวตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน และนายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เข้าชี้แจง ทว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แจ้งต่อกมธ.ว่า ติดภารกิจ จึงไม่สามารถเข้าร่วมชี้แจงได้
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีร้านจำหน่ายก๊าซที่เข้าร่วมโครงการ กว่า 3 หมื่นราย ดังนั้น ประชาชนสามารถซื้อก๊าชราคาถูกจากร้านค้าเหล่านี้ได้ โดยจะมีป้ายการติดประกาศไว้หน้าร้านค้า ทั้งนี้ การขึ้นราคาก๊าซ 50 สตางค์ต่อกิโลกกรัม ยืนยันว่าไม่กระทบต่อต้นทุนอาหาร
“จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตและกระทรวงพลังงานพบตรงกันว่า การขึ้นราคาก๊าซจะทำให้ราคาอาหารบรรจุถุงที่จำหน่ายก่อนหน้านี้ ถุงละ 30 บาท ซึ่งมีต้นทุนประมาณ 30สตางค์ จะปรับขึ้นจากเดิม 1.25 บาท หรือคิดเป็น 1% เท่านั้น ดังนั้น อยากให้กมธ.เชิญคณะกรรมการกองทุนน้ำมันเข้าขี้แจงเพื่อจะได้ความกระจ่างมากขึ้น”นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ด้าน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ.พลังงาน กล่าวว่า การที่ผู้ว่าฯปตท.ไม่เข้าชี้แจงต่อกมธ. อาจทำให้หลายส่วนเข้าใจผิดได้ว่าต้องการปิดบังข้อมูลความจริง และทราบมาว่าสิ้นเดือนก.ค.นี้ จะมีการประชุมบอร์ดปตท. ก็ขอฝากรมว.พลังงานไปยังผู้ว่าฯปตท. ให้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมบอร์ด เพื่อขอข้อมูลมาชี้แจงกมธ.ด้วย
“หากไม่มาชี้แจงต่อกมธ. ก็จำเป็นปฏิบัติตามพ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ โดยการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งการที่ไม่ให้ข้อมูลนั้น เหมือนเจตนาหลีกเลี่ยง จึงทำให้กมธ.ไม่มั่นใจราคาที่โรงแยกก๊าซ เหมือนกับการเมกอัพขึ้นมาทำให้ปตท. มีผลกำไรเกินจริงจึงขอให้มาชี้แจงด้วย”พ.อ.อภิวันท์ กล่าว
อย่างไรก็ดี กมธ.ทั้ง 2 คณะได้ตั้งข้อห่วงใยต่อการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี เนื่องจากกังวลว่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้มีรายได้น้อย อีกทั้ง จะเป็นการส่งผลต่อร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ให้ปรับขึ้นราคาอาหาร จนเป็นการส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพที่อาจพุ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมกมธ. 2 คณะเสร็จสิ้น นายชนินทร์ พร้อมด้วยนางอาณิก ได้ร่วมกันแถลงข่าวว่า กมธ.ทั้ง 2 คณะ มีความเห็นว่าการดำเนินการเรื่องดังกล่าวยังไม่มีมาตรการชัดเจน และประเด็นสำคัญ คือ ร้านค้า 1.6 แสนรายทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการยังถือว่าน้อยมากและเกรงว่าจะเสียประโยชน์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังมีร้านค้าอีกหลายแห่งยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ และอาจฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าได้ ดังนั้น อยากให้รัฐบาลหามาตรการป้องกันเพื่อควบคุม ไม่ให้เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชน จนกลายเป็นบปัญหารุมเร้ากับเรื่องค่าครองชีพในปัจจุบันที่สูงขึ้น
โดยนายวิวัฒน์ชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี เคยแถลงนโยบายไว้ว่า จะไม่ปรับขึ้นราคาพลังงาน แต่จากการเปรียบเทียบข้อมูลราคาแก๊สโซฮอล์ 95 กับสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อ ปี 2554 ปรากฏว่า ราคาน้ำมันเมื่อปี 2554 มีราคาเพียง 32 บาท แต่ปัจจุบันราคาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 41.30 บาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 26 แต่เมื่อเทียบราคาในประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันอยู่ที่ 128 เหรียญต่อบาเรล และปัจจุบันอยู่ 138 เหรียญต่อบาร์เรล ดังนั้นเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันในประเทศก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากถึงขนาดนี้ จึงเห็นได้ว่า ประชาชนน่าจะถูกโกง ถูกฉ้อฉลจากการคำนวนราคาน้ำมันที่อ้างอิงตลาดโลก อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี เคยประกาศว่า "ดิฉันจะกระชากราคาน้ำมัน" แต่ปรากฏว่า นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ราคาน้ำมันไม่เคยถูกกระชากลงเลย มีแต่ถูกดึงขึ้นตลอด จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะผู้ตรวจการฯ มีอำนาจโดยตรง แต่หากยังไม่เร่งพิจารณาประชาชนจะเกิดความเดือดร้อนในการแบกรับภาระจากการใช้น้ำมันแพง
ด้านนายรักษเกชาระบุว่า จะรีบเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการพิจารณาโดยเร็ว เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญและประชาชนก็ให้ความสนใจ
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา และเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า กรณี มาตรา 28 ของพ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ 2556 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ซึ่งระบุว่า หากโครงการใดจะต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน หรือต้องมีการก่อหนี้โดยการกู้ หรือคำประกันโดยกระทรวงการคลัง เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ เมื่อคณะกรรมการให้ความเห็นชอบหลักการของโครงการแล้วให้เสนอโครงการนั้นให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ โดยให้ถือว่าการอนุมัติของครม. เป็นการอนุมัติตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ว่าเข้าข่ายขัด หรือแย้งต่อรัฐรรมนูญ มาตรา 169 ที่กำหนดว่า การใช้จ่ายเงินแผ่นดินจะต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบระมาณ ซึ่งต้องมีการขออนุมัติต่อรัฐสภา หรือไม่ โดยทางสมาคมฯ เห็นว่า มาตรา 28 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนดังกล่าว รัฐบาลตราขึ้นโดยมีเจตนาที่จะใช้งบประมาณโดยหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากรัฐสภา เฉพาะอย่างยิ่งการใช้งบประมาณในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน และโครงลงทุนด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาทนั้น เมื่อครม.อนุมัติแล้วโดยปกติจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่เมื่อ มาตรา 28 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ มีผลบังคับใช้ คิดว่ารัฐบาลจะตีความว่าทั้ง 2 โครงการเข้าหลักการของพ.ร.บ.ฉบับนี้ แล้วก็ไม่ต้องนำไปขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
ด้านนายรักษเกชา กล่าวว่า จะรีบนำเสนอทั้ง 2 ประเด็น ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา แม้ก่อนหน้านี้จะมีการยื่นเรื่องของให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบกฎหมายฉบับนี้ แต่ขณะนั้นยังเป็นร่างกฎหมาย ประกอบกับมีกับมีการร้องกันไปมาของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทำให้การดำเนินการตามคำร้องของผู้ตรวจฯ ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ขณะนี้กฎหมายดังกล่าวเป็นพระราชบัญญัติ มีผลใช้บังคับแล้ว และคำร้องมีความชัดเจน คาดว่าการดำเนินการจะใช้เวลาไม่นาน
ในวันเดียวกันนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาเศรษฐกิจ และกมธ.พลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมประชุมเพื่อพิจารณาการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) โดยมีนายชนินทร์ รุ่งแสง สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และประธานกมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ ทำหน้าที่ประธาน และนางอาณิก อัมระนันทน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานกมธ.พลังงาน ทำหน้าที่รองประธานการประชุมโดยได้เชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินัวตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน และนายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เข้าชี้แจง ทว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แจ้งต่อกมธ.ว่า ติดภารกิจ จึงไม่สามารถเข้าร่วมชี้แจงได้
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีร้านจำหน่ายก๊าซที่เข้าร่วมโครงการ กว่า 3 หมื่นราย ดังนั้น ประชาชนสามารถซื้อก๊าชราคาถูกจากร้านค้าเหล่านี้ได้ โดยจะมีป้ายการติดประกาศไว้หน้าร้านค้า ทั้งนี้ การขึ้นราคาก๊าซ 50 สตางค์ต่อกิโลกกรัม ยืนยันว่าไม่กระทบต่อต้นทุนอาหาร
“จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตและกระทรวงพลังงานพบตรงกันว่า การขึ้นราคาก๊าซจะทำให้ราคาอาหารบรรจุถุงที่จำหน่ายก่อนหน้านี้ ถุงละ 30 บาท ซึ่งมีต้นทุนประมาณ 30สตางค์ จะปรับขึ้นจากเดิม 1.25 บาท หรือคิดเป็น 1% เท่านั้น ดังนั้น อยากให้กมธ.เชิญคณะกรรมการกองทุนน้ำมันเข้าขี้แจงเพื่อจะได้ความกระจ่างมากขึ้น”นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ด้าน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกมธ.พลังงาน กล่าวว่า การที่ผู้ว่าฯปตท.ไม่เข้าชี้แจงต่อกมธ. อาจทำให้หลายส่วนเข้าใจผิดได้ว่าต้องการปิดบังข้อมูลความจริง และทราบมาว่าสิ้นเดือนก.ค.นี้ จะมีการประชุมบอร์ดปตท. ก็ขอฝากรมว.พลังงานไปยังผู้ว่าฯปตท. ให้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมบอร์ด เพื่อขอข้อมูลมาชี้แจงกมธ.ด้วย
“หากไม่มาชี้แจงต่อกมธ. ก็จำเป็นปฏิบัติตามพ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ โดยการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งการที่ไม่ให้ข้อมูลนั้น เหมือนเจตนาหลีกเลี่ยง จึงทำให้กมธ.ไม่มั่นใจราคาที่โรงแยกก๊าซ เหมือนกับการเมกอัพขึ้นมาทำให้ปตท. มีผลกำไรเกินจริงจึงขอให้มาชี้แจงด้วย”พ.อ.อภิวันท์ กล่าว
อย่างไรก็ดี กมธ.ทั้ง 2 คณะได้ตั้งข้อห่วงใยต่อการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี เนื่องจากกังวลว่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้มีรายได้น้อย อีกทั้ง จะเป็นการส่งผลต่อร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ให้ปรับขึ้นราคาอาหาร จนเป็นการส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพที่อาจพุ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมกมธ. 2 คณะเสร็จสิ้น นายชนินทร์ พร้อมด้วยนางอาณิก ได้ร่วมกันแถลงข่าวว่า กมธ.ทั้ง 2 คณะ มีความเห็นว่าการดำเนินการเรื่องดังกล่าวยังไม่มีมาตรการชัดเจน และประเด็นสำคัญ คือ ร้านค้า 1.6 แสนรายทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการยังถือว่าน้อยมากและเกรงว่าจะเสียประโยชน์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังมีร้านค้าอีกหลายแห่งยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ และอาจฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าได้ ดังนั้น อยากให้รัฐบาลหามาตรการป้องกันเพื่อควบคุม ไม่ให้เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชน จนกลายเป็นบปัญหารุมเร้ากับเรื่องค่าครองชีพในปัจจุบันที่สูงขึ้น