ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ต้องบอกว่าเวรกรรมีจริง !! ฮึกเหิมอหังการได้ไม่นาน ในที่สุด “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ก็ถูกผู้ตรวจการแผ่นดินฟันฉับ ! ตามฐานความผิดเรื่องจริยธรรม จากกรณีที่ บิ๊กแจ๊ดบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปให้นักโทษหนีคดีที่ชื่อ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ประดับยศให้หลังได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล”
โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งหนังสือไปยัง “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.อมรินทร์ อัครวงษ์ จเรตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และประมวลจริยธรรมของข้าราชการตำรวจกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์
อย่างไรก็ดี งานนี้ “บิ๊กแจ๊ด” หาได้หวาดหวั่น ประกาศลั่นว่า “ ไม่ได้ถามแม่ใคร ” !! …... อีกทั้งยังยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าตนเองนั้นได้ให้ “นักโทษ” ติดยศให้จริง และเชื่อมั่นว่าไม่ผิดจริยธรรม !
ซึ่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ว่าส่วนตัวก็ยืนยันเหมือนเดิมว่า การที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดยศให้ก็เพราะมีความเคารพ และถือเป็นประเพณีอยู่แล้ว อย่างกรณีนายตำรวจจบมาใหม่ติดยศ ร.ต.ต.ก็ให้คนที่เคารพประดับยศให้ทั้งนั้น เพราะถือเป็นการให้เกียรติ และมองว่าไม่ได้ผิดจริยธรรมอะไร
“ผมคุยกับแม่ผม และแม่ผมสอนเสมอเกี่ยวกับจริยธรรม ดังนั้น การให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดยศให้ก็ไม่ได้ผิดอะไร และผมก็ถามแม่ผม ไม่ได้ไปถามแม่ใคร” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าว
ทำเอาประชาชนคนไทยงวยงงไปตามๆกันว่า แล้วมาตรฐานคำว่า “จริยธรรม” ของนายตำรวจใหญ่ระดับผู้บัญชาการตำรวจนครบาลนั้นคืออะไร ? ในเมื่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างท่านยกย่องนักโทษหนีคดี ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีคอร์รัปชั่น อีกทั้งยังถูกตัดสินยึดทรัพย์ที่ได้จากการโกงบ้านโกงเมืองถึง 4.6 หมื่นล้านบาท ถึงขนาดก้มหัวให้ประดับยศบนบ่าให้ แล้วประชาชนยังจะหวังอะไรกับตำรวจไทยได้อีก
ที่สำคัญหลักฐานชัดขนาดนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องจริยธรรมเท่านั้น เพราะ “บิ๊กแจ๊ด” คงลืมไปว่าตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่นั่งอยู่นั้น คือนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่รักษากฎหมาย เมื่อเจอนักโทษหนีคดี ทำไมไม่จับ !! การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 157
“ มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง10ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000บาท ถึง 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ”
การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปพบนักโทษหนีคดีที่เร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศอย่างออกหน้าออกตา ถึงขนาดประกาศผ่านสื่อก็เท่ากับเป็นการประกาศชัดเจนว่ารู้เห็นเป็นใจให้นักโทษรายนี้หนีคดี แล้วอย่างนี้จะรักษากฎหมายบ้านเมืองอยู่ได้อย่างไร ?
งานนี้คงต้องถามใจ “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าจะดำเนินการกับ “ผู้ใต้บังคับบัญชา” ที่กระทำผิดทั้งในแง่กฎหมายและจริยธรรม อย่างจริงจังหรือไม่ เพราะเรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจนทั้งภาพถ่าย เอกสารทางราชการ อีกทั้งเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าได้พบกับนักโทษหนีคดีจริง
แม้ล่าสุดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.อมรินทร์ อัครวงษ์ จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ดำเนินการตรวจสอบตามระเบียบขั้นตอนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่การที่ พล.ต.อ.อดุลย์ออกตัวว่าการจะชี้ว่าการกระทำดังกล่าวของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ผิดจริยธรรมหรือไม่ ต้องรอผลการสอบสวนก่อนนั้น หลายๆ คนได้ยินได้ฟังแล้วก็รู้สึกทะแม่งๆอย่างไรชอบกล เพราะการที่นายตำรวจใหญ่ไปพบนักโทษหนีคดีอย่างเปิดเผย หนำซ้ำยังให้นักโทษประดับยศบนบ่าให้...ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า “ขัดจริยธรรม” หรือไม่ ? ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่ประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยจะพากันตั้งข้อสังเกตว่าการมอบหมายให้จเรตำรวจฯดำเนินการตรวจสอบกรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ นั้นอาจเป็นแค่การซื้อเวลา เพื่อรอให้เรื่องเงียบหายไปจากความสนใจของสังคมเท่านั้น
เพราะเห็นชัดอยู่แล้วว่าหลักฐานที่ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้ประกอบในการพิจารณากรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ตามที่ นายจาตุรันต์ บุญเบญจรัตน์ ผู้ช่วยผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ร้องเรียนเข้ามานั้น แน่นหนาชัดเจนชนิดที่ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายขยายความใดๆ โดยเฉพาะเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ซึ่งพบว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้มีการเดินทางออกนอกประเทศในวันที่ 28 มิ.ย. 2555 ด้วยสายการบินเอมิเรสต์ แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ EK0375 และเดินทางกลับในวันที่ 30 มิ.ย. 2555 ด้วยเที่ยวบิน EK0384 จากหลักฐานดังกล่าว ประกอบกับภาพที่ปรากฏในห้องทำงานของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ซึ่งเป็นภาพที่ นช.ทักษิณ ประดับยศให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ หลังได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมทั้งยังมีข้อความบรรยายใต้ภาพว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ลงวันที่ 29 มิ.ย. 2555 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และ นช.ทักษิณ อยู่ที่ฮ่องกง ก็ชัดเจนว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เดินทางไปพบ นช.ทักษิณเพื่อให้นักโทษคดีอาญารายนี้ประดับยศให้
ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน พิจารณาแล้วเห็นว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นตำแหน่งที่สำคัญ การที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถือเป็นนักโทษหนีคดี ตามประกาศของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาจทำให้เกิดข้อครหาในกระบวนการยุติธรรมที่อาจถูกมองว่ามีความไม่เป็นกลางเกิดขึ้น ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงเห็นควรว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ตรวจจึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยจริยธรรมของผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 มาตรา 38 ส่งเรื่องไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะผู้บังคับบัญชา ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ดังนั้น ในทางปฏิบัติแล้ว พล.ต.อ.อดุลย์ ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งประเทศนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นเรื่องมา แต่ควรดำเนินการเอาผิดกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ตั้งแต่ครั้งที่ท่านเข้ามารับตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” เมื่อ 1 ต.ค. 2555ที่ผ่านมาแล้ว เพราะกรณีนี้มีหลักฐานชัดเจนมาตั้งแต่ต้น ปรากฏภาพข่าวลงหราในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
และเมื่อหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ หนำซ้ำยังมีผู้ตรวจการแผ่นดินซึ่งทำหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยื่นเรื่องเข้ามายังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ถามว่า พล.ต.อ.อดุลย์จะทนนิ่งเฉย เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และปล่อยให้การตรวจสอบของจเรตำรวจเป็นแค่ละครปาหี่อย่างนั้นหรือ ??
ที่สำคัญหากไม่ดำเนินการกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์อย่างตรงไปตรงมา ก็เท่ากับว่าเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 157 ด้วยเช่นกัน อันจะส่งผลให้ พล.ต.อ.อดุลย์ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง10ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000บาท ถึง 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ดี กรณีการเดินทางไปพบ นช.ทักษิณ ของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์นั้นดูจะไม่ได้จบแค่นี้ คงต้องติดตามการดำเนินการของทางด้าน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีกทางหนึ่งด้วย เพราะนอกจากผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องให้ ผู้บัญชาการการตำรวจแห่งชาติดำเนินการกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ในเรื่องจริยธรรม ตามที่กลุ่มกรีนร้องเรียนมาแล้ว กลุ่มกรีนยังได้ยื่นเรื่องดังกล่าวให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบอีกทางหนึ่งเพียงแต่ยื่นให้พิจารณาในฐานความผิดต่างกันเท่านั้น โดยยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้พิจารณา เรื่องความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และการดำเนินการก็มีความคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว
ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งคือ หาก ป.ป.ช.พิจารณาว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ คงไม่ใช่แค่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เท่านั้นที่ต้องถูกดำเนินคดี แต่กรณีนี้อาจส่งผลต่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคน ส่งผลต่อบรรดา ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย และที่สำคัญยังส่งผลต่อรัฐมนตรีอีกหลายท่านที่อยู่ในรัฐบาลชุดนี้ เพราะมีหลักฐานชัดว่าบุคคลเหล่านี้ได้เดินทางไปพบ นช.ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดี เท่ากับร่วมรู้เห็นกับการหลบหนีคดีของนักโทษชายรายนี้ ขณะที่ในประเด็นเรื่องจริยธรรมนั้นก็ต้องบอกว่าผิดเต็มประตู
คนแรกที่ต้องกล่าวถึงก็คือ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งออกมาการันตีว่าการเข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ นั้นไม่มีความผิด ทั้งในแง่ของกฎหมายและจริยธรรม ทำเอาประชาชนคนไทยพากันส่ายหน้า ปลงอนิจจาไปตามๆกันๆ
โดย ร.ต.อ.เฉลิม ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ว่า “ไม่เห็นจะต้องสอบเรื่องจริยธรรม เพราะท่านไม่ได้ทำผิดอะไร ไปเปิดกฎหมายเล่มไหน มาตราอะไรที่ระบุว่าท่านผิดไม่คุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ คนที่พูดมามันไม่รู้ภาษา มันซื่อบื้อ หากจะจับตัว พ.ต.ท.ทักษิณมาลงโทษได้นั้น ก็ต้องร้องไปยังอัยการสูงสุด ให้ทำหนังสือไปยังประเทศบรูไน เพราะเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่บรูไนไม่ใช่ที่ประเทศไทย แต่กลุ่มกรีนกลับไปร้องว่าพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ทำไมถึงไม่จับ ก็เพราะท่านทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากเป็น ผบช.น. ของไทย ไม่ใช่บรูไน จึงจับกุมไม่ได้”
ทั้งนี้ หากย้อนดูพฤติกรรมของ ร.ต.อ.เฉลิม ในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่น่าแปลกใจอะไรกับการให้สัมภาษณ์แบบเอาสีข้างเข้าถูดังกล่าว เพราะตัวของ ร.ต.อ.เฉลิมเองก็มีภาพปรากฏผ่านสื่อว่าเพิ่งเดินทางไปพบ นช.ทักษิณ ที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2556 ที่ผ่านมา ซึ่งว่ากันว่าเขาถูก นช.ทักษิณ เรียกไปพบเพื่อเคลียร์ปัญหา หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกอาการฟาดงวงฟาดงาก่นด่าใครต่อใครไปทั่วเนื่องจากไม่พอใจที่ถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ให้โยกไปเป็นรัฐมนตรีจับกัง ซึ่งถือว่าถูกลดชั้นลดบทบทชนิดที่จอมกร่างอย่าง “เหลิม บางบอน” ยอมไม่ได้ จึงปรากฏภาพ นช.ทักษิณ ผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง ชี้หน้าสั่งสอนรัฐมนตรีเฉลิม
ตามด้วย “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะมีหลักฐานที่ปรากฏใน “คลิปฉาว” ว่าเพิ่งเดินทางไปพบ นช.ทักษิณ ก่อนที่จะมีการปรับ ครม.ปู 5 โดยจากบทสนทนาชัดเจนว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ บินด่วนไปพบ นช.ทักษิณ ตามบัญชา เพื่อรับออร์เดอร์ปฏิบัติภารกิจสำคัญยึดอำนาจกองทัพ และออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม โดยใช้ช่องทางของสภากลาโหม จึงเป็นที่มาของเก้าอี้ รมช.กลาโหม ที่บิ๊กอ๊อดนั่งสั่งการอยู่ขณะนี้
แม้แต่ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ก็มีข่าวแว่วว่าได้เดินทางไปพบกับ นช.ทักษิณ ในต่างประเทศหลายครั้งหลายครา แม้จะไม่มีภาพคู่กอดคอปรากฏผ่านสื่อเหมือนนักการเมืองหลายๆคน แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่าน่าจะมีการพบกันจริง เพราะเป็นที่สังเกตว่าหลายครั้งที่นายกฯยิ่งลักษณ์เดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา พม่า หรือฮ่องกง ก็มักปรากฏภาพการเดินทางไปยังประเทศนั้นๆของ นช.ทักษิณ ในช่วงเวลาเดียวกันเสมอ นอกจากนั้นครั้งหนึ่ง นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ นช.ทักษิณ ยังเคยออกมายอมรับกลายๆถึงการพบกันระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นช.ทักษิณ โดย นายนพดลได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 เม.ย.2554ก่อนที่ยิ่งลักษณ์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงไม่กี่เดือน
“ การเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น นับว่าเป็นเรื่องปกติที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไปเรื่องธุรกิจ และเรื่องส่วนตัว ซึ่งหากใช้เวลาช่วงนั้นพบปะพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็อาจมีการเดินทางเพื่อไปรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ตามปกติ”
ดังนั้นแน่นอนว่าหาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ถูก ป.ป.ช.ตัดสินว่ามีความผิด ก็จะมีคนยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้พิจารณาเอาผิดนายกฯและบรรดารัฐมนตรีที่ไปพบ นช.ทักษิณ เช่นนั้น เพราะฉะนั้นงานนี้สะเทือนกันทั้งรัฐบาลแน่ !!