xs
xsm
sm
md
lg

“นวัตกรรมเซลล์บำบัด-สเต็มเซลล์” ธุรกิจหลอกคนรวย!? มาเฟียธุรกิจ “เจ๊ ด.” เอี่ยวหนุน “Stem cell” (ตอนจบ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จากข้อมูลในการสนทนาทั้งกับแพทยสภา แพทย์ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย และแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนรวมทั้งแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ ทีม Special Scoop นำข้อมูลดังกล่าวมาสังเคราะห์เพื่อหาคำตอบที่ว่าธุรกิจสเต็มเซลล์รายใหญ่ในไทยตอนนี้มีใครบ้าง จนได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า กลุ่มธุรกิจทางการแพทย์ที่ทำการรักษาแบบสเต็มเซลล์ขณะนี้มี 5 กลุ่มรายใหญ่ ได้แก่

1. แพทย์ผู้ใหญ่บางคนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวโรงพยาบาลตำรวจ ที่ได้ทำธุรกิจบริษัทรับเก็บสเต็มเซลล์ของบุคคลเป็นเวลา 20 ปี โดยแพทย์กลุ่มนี้จะมีการไปดิวกับโรงพยาบาลเอกชนใหญ่ๆ เพื่อหาลูกค้า ซึ่งธุรกิจเก็บสเต็มเซลล์นั้นเป็นธุรกิจที่มีผลประโยชน์หลายพันล้านบาท
2. แพทย์บางคนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวโรงพยาบาลตำรวจ ได้ทำโครงการวิจัยเรื่องสเต็มเซลล์ และมีการไปสร้างความร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ นำการวิจัยนั้นไปโปรโมตการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนนั้นๆ โดยในการโปรโมตนั้น จะมีวิธีใช้ภาษาที่ไม่ได้บอกว่าเป็นสเต็มเซลล์โดยตรงก็มี
3. กลุ่มแพทย์อดีตผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับนักการเมืองและเครือข่ายหมอในการเปิดแล็บตรวจดีเอ็นเอ และทำสถานบริการสุขภาพเซลล์บำบัดชะลอความแก่ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ผลประโยชน์มากที่สุด
4. หมอในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งหนึ่งแถวสามย่าน ที่ทำธุรกิจขายเซลล์เกี่ยวกับข้อต่างๆ ในร่างกาย
5. กลุ่มแพทย์ทางเลือกที่โฆษณาให้คนมีอายุยืนถึง 100-120 ปี ซึ่งก็เป็นกลุ่มใหญ่ ที่มีการแตกกลุ่มย่อยๆ ไปมากมาย

“แพทย์เหล่านี้จะหลอกคนรวยเป็นหลัก เพราะธุรกิจนี้มีราคาแพงมาก ทั้งคนที่อยากชะลอความแก่ และคนที่สิ้นหวังจากโรคร้ายที่เป็นอยู่ โดยทำให้คนไข้ที่ทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายมีความหวังขึ้นมา แล้วทุ่มเงินได้ไม่อั้นเพื่อรักษาแม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิด” แหล่งข่าวแพทย์รายหนึ่งกล่าว

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเครื่องสำอางที่มีการโฆษณาว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเต็มเซลล์ ซึ่งขณะนี้ อย.ก็สั่งห้ามแล้วเรียบร้อย เนื่องจากไม่มีประโยชน์ เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค

“สเต็มเซลล์วันหนึ่งก็ตาย ใครเอามาทำเครื่องสำอางก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะมันอยู่ได้แค่วันเดียว บางทีมันตายแล้วค่อยเอามาทำเครื่องสำอางด้วยซ้ำ ทำอย่างนี้ไม่อันตราย เพราะไม่ได้ใช้รักษาคนไข้ แต่ก็เข้าข่ายหลอกลวง”

***นักการเมืองหนุนอดีตผู้ใหญ่สธ.ทำธุรกิจสเต็มเซลล์****

สำหรับมาเฟียทั้ง 5 กลุ่มนี้ กลุ่มใหญ่ที่สุด มีเครือข่ายแน่นหนาที่สุดจะมีอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน

กลุ่มแรกคือกลุ่มแพทย์ที่อยู่แถวโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นแพทย์ระดับผู้ใหญ่ นอกจากมีการร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนแล้ว ยังตั้งธุรกิจของตัวเองเป็นบริษัทรับเก็บสเต็มเซลล์ ทำการให้บริการเก็บรักษาและเพิ่มสเต็มเซลล์ โดยส่วนมากจะเน้นเก็บจากทารกแรกเกิด และยังมีการโฆษณาว่าสามารถเก็บจากเนื้อเยื่อสายสะดือ และเนื้อเยื่อไขมันได้ด้วย ธุรกิจนี้มีหลายคนนำไปใช้ประโยชน์ โดยมีการเลี่ยงไม่ใช้ชื่อสเต็มเซลล์โดยตรง แต่ใช้ชื่อธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดแทน

“เขาจะไปติดต่อทุกโรงพยาบาล เพื่อชวนให้คนที่คลอดลูกใหม่ๆ เก็บรก หรือสายสะดือเด็กไว้ในธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด จะบอกว่าเก็บไว้ใช้รักษาโรคในอนาคตได้ถึง 30 ปี ซึ่งไม่จริง”

ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ไอร์วิง ไวส์สแมน (Irving Weissman) ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาเซลล์ต้นกำเนิดและเวชศาสตร์การฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Institute of Stem Cell Biology and Regenerative Medicine) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ กล่าวในงานประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (American Association for the Advancement of Science: AAAS)

โดยกล่าวถึงธุรกิจการเก็บสเต็มเซลล์ และระบุถึงประเทศไทยด้วยว่าเป็นผู้ที่มีการทำธุรกิจนี้อย่างแพร่หลาย โดยกล่าวว่า ความหวังดีของพ่อแม่ที่มีต่อลูก อาจทำให้ต้องถูกหลอกจากผู้ดำเนินธุรกิจธนาคารสเต็มเซลล์ได้โดยง่าย โดยสายสะดือของทารกแรกเกิดมีเซนไคมอลเซลล์ (Mesenchymal Cells) ด้วย ซึ่งเซลล์ดังกล่าวมีความสามารถที่จำกัดมาก ในการทำให้เกิดแผลเป็น กระดูก และไขมัน แต่มันจะไม่สร้างสมอง ไม่ผลิตเม็ดเลือด ไม่ก่อให้เกิดเนื้อเยื่อหัวใจ ไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อโครงร่าง หรือแม้อะไรก็ตามที่มีการกล่าวอ้าง ที่สำคัญยังไม่มีข้อมูลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุแน่ชัดว่าสเต็มเซลล์สามารถรักษาโรคเหล่านั้นได้ดีจริงโดยไม่มีผลข้างเคียง (เตือนพ่อแม่ระวังถูกหลอก เพราะหลงเชื่อฝากสายสะดือ “ธนาคารสเต็มเซลล์” หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ 24 ก.พ. 53)

ดังนั้น การโฆษณาว่าสามารถรักษาด้วยสเต็มเซลล์ในทุกโรค รวมถึงการรักษาผิวหนังเพื่อความอ่อนวัย ถือว่ามีความผิดทั้งจริยธรรมแพทย์ และผิดกฎระเบียบของแพทยสภา เพราะแพทยสภาได้ออกกฎควบคุม ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษา พ.ศ. 2552 ไว้แล้ว

นอกจากนี้ในกระบวนการเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารก ที่จะต้องมีการดูดเอาเซลล์ของตัวอ่อน(Embryonic Stem Cell) มาเก็บ เท่ากับเป็นการทำลายตัวอ่อนโดยตรง เพราะตัวอ่อนที่ถูกดูดเอาสเต็มเซลล์บางส่วนออกไปมักจะตายหรือต้องถูกทำลายทิ้ง ซึ่งเป็นปัญหาทางศีลธรรม และกฎหมาย ที่ยังไม่ได้รับการยอมรับในสากล

แต่ข้อบังคับที่หละหลวม ก็ยังทำให้คนกลุ่มนี้สามารถทำธุรกิจนี้จนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ได้

คนกลุ่มนี้มีการให้บริการโดยเก็บค่าบริการเก็บสายสะดือทารกแรกเกิดประมาณรายละ 120,000-200,000 บาท รวมแล้วบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้จะมีมูลค่าธุรกิจระดับพันล้าน

นี่แค่บริษัทเดียว!

อีกกลุ่มคือ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแพทย์ที่เคยเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขเองมีการจับมือกับนักการเมืองทำธุรกิจสเต็มเซลล์ขนาดใหญ่

***คนกลุ่มนี้คือกลุ่มผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด และเข้าไปตรวจสอบได้ยากที่สุด!***

“หมอพูดอะไรไม่ผิด ยิ่งเป็นหมอที่เป็นระดับผู้ใหญ่ พูดอะไรไปคนก็เชื่อโดยง่าย แถมแพทยสภาจะมาเอาผิดก็ยาก เพราะว่าเจ้าหน้าที่ในแพทยสภาก็เป็นหมอ เป็นลูกน้องเก่า หรือไม่ก็เป็นเพื่อนในวงการเดียวกัน ไม่มีใครอยากยุ่ง”

คนกลุ่มนี้มีการทำธุรกิจโดยเปิดเป็นบริษัท และเปิดเป็นคลินิกทำการใช้สเต็มเซลล์ในการชะลอความแก่ หรือความสวยความงามเป็นหลัก ซึ่งก็จะมีวิธีการหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าสเต็มเซลล์ไปใช้คำอื่นแทน เช่น การรักษาแบบองค์รวมด้วยวิธีเซลล์บำบัด เป็นต้น

“คนในวงการแพทย์รู้ดี ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไปเอาผิดไม่ได้”

***ใช้งานวิจัย-นวัตกรรมใหม่หนุนความเชื่อถือ***

อย่างไรก็ดี เมื่อมีความร่วมมือกับนักการเมืองยิ่งทำให้ขบวนการนี้มีเครือข่ายที่ใหญ่มาก และมีนักการเมืองบางคนกำลังพยายามให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานนวัตกรรมในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ผลิตงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์มารองรับธุรกิจสเต็มเซลล์อีก เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ โดยใช้งบราชการเป็นจำนวนกว่าพันล้านบาท

แหล่งข่าวแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า สถาบันประเภทนวัตกรรมแห่งหนึ่งของกระทรวงวิทยาศาสตร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้การบงการของนักการเมืองหญิงที่ชื่อ “เจ๊ ด.” กำลังใช้คนของตัวเองในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับสเต็มเซลล์ และหุ่นยนต์ ซึ่งมองแล้วมีแนวโน้มความไม่โปร่งใสสูงมาก

เมื่อ 2 กระทรวงใหญ่ทั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกันผลักดันจะยิ่งทำให้คนไทยและคนต่างชาติหลงเชื่อว่าสเต็มเซลล์มีการรับรองแล้ว ขณะเดียวกันมีอดีตแพทย์ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขมานั่งบริหารสถานพยาบาลแห่งนี้เอง

“คนกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับสถานบริการสุขภาพเซลล์บำบัด ซึ่งต่อไปจะยิ่งทำให้คนหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการทันทีที่โครงการสเต็มเซลล์รับรองโดย 2 หน่วยงานรัฐ ไม่ใช่แค่ระดับพันล้าน แต่จะเป็นระดับหมื่นล้าน ที่นี่จะถูกยกระดับผลประโยชน์จากการให้บริการรักษาด้วยสเต็มเซลล์เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย!

นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า แพทยสภามีความเป็นห่วงและกังวลที่อยากจะเอาผิดกับคนกลุ่มนี้เพราะทำธุรกิจหลอกลวงชัดเจน แต่ที่ผ่านมายอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะในแพทยสภาเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ถือว่าเป็นลูกน้องเก่า ยังมีความเกรงใจสูง ขณะที่ธุรกิจอะไรก็ตามที่มีเบื้องหลังเป็นนักการเมืองด้วยแล้ว ก็จะยิ่งจัดการตรวจสอบได้ยากมากขึ้นไปอีก

ขณะเดียวกันธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่เป็นแพทย์ทางเลือก ซึ่งไม่เกี่ยวข้องและแพทยสภาเข้าไปควบคุมจรรยาบรรณไม่ได้ ฤาธุรกิจสเต็มเซลล์เป็นหมื่นๆ ล้านบาทจึงเป็นธุรกิจที่เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครฉุดรั้งได้

ประชาชนจึงถูกหลอกขายความหวังไม่รู้จบ!

ที่สำคัญวารสารทางวิชาการทางการแพทย์ของต่างประเทศก็ตีพิมพ์ตลอดว่าประเทศไทยมีการรักษาสเต็มเซลล์ทั้งที่ยังไม่มีการรับรองความปลอดภัย

ไม่ใช่แค่ชีวิตคนไข้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อนต่างๆ เท่านั้น เพราะการที่ไทยยังทำการรักษาและดึงคนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาโดยไม่บอกความจริงทั้งหมดนี้

เรื่องเสียหายจึงเกิดกับประเทศไทยโดยรวม ความเป็น Medical Hub ของไทยถือว่าเป็นความหวังริบหรี่จากคนเพียงไม่กี่คนที่ทำลายชื่อเสียงของมาตรฐานทางการแพทย์สากลของไทยที่อยู่ในระดับแนวหน้ามาตลอด

Medical Hub ในวันนี้ก็อาจกลายพันธุ์เป็น Dangerous Hup ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้!

เช่นเดียวกับที่ ***รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร เจ้าของ “ฮาร์ท เจเนติกส์” ****ตรวจพบคนไข้ที่ฉีดสารบางอย่างเข้าไป และพบว่าคนไข้กำลังมียีนกลายพันธุ์นำไปสู่โรคมะเร็งได้!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น