ASTVผู้จัดการรายวัน-พนักงาน อสมท แฉ "จักรพันธุ์ ยมจินดา" สุดกร่าง ถามในที่ประชุมสหภาพ "ใครจะไล่ผมออก" หลังถูกต้านประเคน 480 ล้านให้ซีทีเอชแลกถ่ายบอลอังกฤษแค่ 17 แมทช์ต่อฤดูกาล เผยยังกล้าโวได้ ปตท.-เอไอเอส เป็นสปอนเซอร์ แถมโม้ต่อเนื่อง แค่ปีแรกก็กำไร อัดต่อหากินโครงการเช่าวีดีโอวอล์ ดันให้เช่าทั้งๆ ที่ซื้อขาดคุ้มกว่า ไม่แค่นั้นยังฉกเวลาทำรายการวิทยุอีก
จากกรณีความขัดแย้งเรื่องการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษจากบริษัท ซีทีเอช มูลค่ากว่า 480 ล้านบาทโดยมีนายสุธรรม แสงประทุม ประธานคณะกรรมการ บมจ.อสมท (MCOT) และนายจักรพันธ์ ยมจินดา รองประธานฯ ที่มีความพยายามดำเนินการ ท่ามกลางกระแสการคัดค้านจากพนักงาน อสมท ที่ไม่เห็นด้วยกับการต้องจ่ายเงินสูงโดยที่ไม่คุ้มค่าการลงทุน แม้ที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา จะลดกระแสต้านด้วยหารูปแบบการจ่ายเงินให้กับซีทีเอชลดลงไปแล้วก็ตาม
แหล่งข่าวจากบมจ. อสมท เปิดเผยว่า ที่ประชุมกิจการสัมพันธ์ที่เป็นการพบกันระหว่างบอร์ด ผู้บริหาร และตัวแทนพนักงาน อสมท ซึ่งพนักงานได้ซักถามอย่างละเอียดถึงโครงการดังกล่าวว่าจะทำกำไรให้กับองค์กรได้หรือไม่ โดยผู้ช่วยสำนักการขาย บมจ.อสมท ยืนยันเพียงว่า มีเอเจนซี่สนใจลงโฆษณาจากการสอบถามเบื้องต้นแค่ 70 ล้านเท่านั้น ทำให้พนักงานสอบถามนายจักรพันธุ์ว่าในเมื่อตัวเลขเป็นเช่นนี้ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่นายจักรพันธ์ได้ยืนยันว่า มีสปอนเซอร์ที่สนใจ คือ เอไอเอส และ ปตท.ซึ่งน่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาทำให้ได้กำไรในปีแรก
ขณะที่ตัวแทนพนักงานได้สอบถามว่าตัวเลขที่กล่าวถึงมีการตกลงกันแล้วหรือไม่อย่างไร นายจักรพันธ์กลับตอบคำถามไม่ได้ โดยการซักถามกินเวลานาน โดยเฉพาะเหตุผลสองข้อหลักที่ อสมท ไม่ควรไปนำเงิน 480 ล้านบาทไปซื้อลิขสิทธิ์ในครั้งนี้ คือ 1.ซีทีเอช มีสัญญาผูกมัดจะต้องหาช่องฟรีทีวีลง ดังนั้น อสมท จึงเป็นต่อในการเจรจามากกว่า เพราะซีทีเอชได้รับการปฎิเสธจากทุกช่องมาแล้ว 2.อสมทกำลังจะลงทุนในเรื่องทีวีดิจิตอล ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการพูดคุยในฝ่ายบริหารอาจต้องก็เงินมากถึงพันล้านบาท 3.โอกาสที่จะได้กำไรจากโครงการดังกล่าวแทบไม่มี เพราะตัวเลขโฆษณาที่จะต้องขายเพื่อให้ได้คุ้มทุนยังสูงถึง 5 แสนบาทต่อนาที ซึ่งคำถามทั้งหมดนายจักรพันธุ์ไม่สามารถตอบคคำถามได้ และมีอารมณ์ฉุนเฉียวโดยถามกลับว่า “ได้ข่าวว่ามีพนักงานจะไล่ผมเหรอ ใครจะไล่ผม”
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้นายสุธรรมและนายจักรพันธุ์ได้เรียกผู้ช่วยกรรมการสายงานการตลาดและธุรกิจมาพูดคุยหลายครั้ง พร้อมทั้งให้รองกรรมการฯ ที่ดูแลการตลาด โยกงบประมาณจากไตรมาสอื่นๆ ที่เป็นงบที่วางไว้แล้วมาลงในโครงการนี้เพื่อให้ดูตัวเลขว่าได้กำไร ขณะที่พนักงานจำนวนมากหรือเกือบทั้งหมดไม่เอาด้วยกับโครงการดังกล่าว และเห็นว่านายสุธรรมและนายจักรพันธุ์ จ้องที่จะเข้ามาหาผลประโยชน์และการอ้างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร
โครงการนี้ หากอสมท.ซื้อสิทธิ์จากบริษัทซีทีเอซมาจริง จากตัวเลข 480 ล้านบาทตลอด 3 ฤดูกาลที่ซีทีเอชประมูลมาได้ จะทำให้อสมท.ต้องจ่ายต่อปีถึง 160 ล้านบาท สามารถถ่ายทอดได้ 17 นัด หรือต่อนัด อสมท.ต้องจ่ายเงินสูงถึงนัดละ 9.4 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ผ่านมา นายจักรพันธ์ได้อาศัยช่วงรักษาการตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ รวบรัดเช่าซื้อวีดีโอวอล์ราคาสูงถึง 70 ล้านบาท ทั้งที่มีการทักท้วงจากผู้บริหารจำนวนมาก และเมื่อครบ 1 ปี ในเดือนมิ.ย.นี้ ก็ยังมีความพยายามี่จะให้ต่อสัญญาออกไปอีก ขณะที่นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้ให้ฝ่ายเทคนิกนำเสนอตัวเลือกว่าการจัดซื้อเลยแทนการเช่าจะคุ้มค่ากว่าหรือไม่ ซึ่งมีข้อสรุปว่า คุ้มค่ากว่า แต่เมื่อนำเข้าบอร์ดพิจารณาเมื่อเดือนที่ผ่านมา นายจักรพันธุ์ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยและต้องการให้มีการเช่าต่อไปอีก ทั้งๆ ที่จะทำให้อสมท เสียประโยชน์มากกว่า ขณะที่นายจักรพันธุ์ได้เข้าไปขอจัดรายการตามสถานีวิทยุต่างๆ ของอสมท ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นถึงบอร์ดบริหาร แต่กลับมาขอจัดรายการวิทยุ สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาทำมาหากินและมาแสวงหาผลประโยชน์จากองค์กรและยังขัดกับหลักธรรมาภิบาลที่ดีที่ผู้กำกับดูแลนโยบายไม่ควรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับกับดำเนินกิจการ
จากกรณีความขัดแย้งเรื่องการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษจากบริษัท ซีทีเอช มูลค่ากว่า 480 ล้านบาทโดยมีนายสุธรรม แสงประทุม ประธานคณะกรรมการ บมจ.อสมท (MCOT) และนายจักรพันธ์ ยมจินดา รองประธานฯ ที่มีความพยายามดำเนินการ ท่ามกลางกระแสการคัดค้านจากพนักงาน อสมท ที่ไม่เห็นด้วยกับการต้องจ่ายเงินสูงโดยที่ไม่คุ้มค่าการลงทุน แม้ที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา จะลดกระแสต้านด้วยหารูปแบบการจ่ายเงินให้กับซีทีเอชลดลงไปแล้วก็ตาม
แหล่งข่าวจากบมจ. อสมท เปิดเผยว่า ที่ประชุมกิจการสัมพันธ์ที่เป็นการพบกันระหว่างบอร์ด ผู้บริหาร และตัวแทนพนักงาน อสมท ซึ่งพนักงานได้ซักถามอย่างละเอียดถึงโครงการดังกล่าวว่าจะทำกำไรให้กับองค์กรได้หรือไม่ โดยผู้ช่วยสำนักการขาย บมจ.อสมท ยืนยันเพียงว่า มีเอเจนซี่สนใจลงโฆษณาจากการสอบถามเบื้องต้นแค่ 70 ล้านเท่านั้น ทำให้พนักงานสอบถามนายจักรพันธุ์ว่าในเมื่อตัวเลขเป็นเช่นนี้ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่นายจักรพันธ์ได้ยืนยันว่า มีสปอนเซอร์ที่สนใจ คือ เอไอเอส และ ปตท.ซึ่งน่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาทำให้ได้กำไรในปีแรก
ขณะที่ตัวแทนพนักงานได้สอบถามว่าตัวเลขที่กล่าวถึงมีการตกลงกันแล้วหรือไม่อย่างไร นายจักรพันธ์กลับตอบคำถามไม่ได้ โดยการซักถามกินเวลานาน โดยเฉพาะเหตุผลสองข้อหลักที่ อสมท ไม่ควรไปนำเงิน 480 ล้านบาทไปซื้อลิขสิทธิ์ในครั้งนี้ คือ 1.ซีทีเอช มีสัญญาผูกมัดจะต้องหาช่องฟรีทีวีลง ดังนั้น อสมท จึงเป็นต่อในการเจรจามากกว่า เพราะซีทีเอชได้รับการปฎิเสธจากทุกช่องมาแล้ว 2.อสมทกำลังจะลงทุนในเรื่องทีวีดิจิตอล ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการพูดคุยในฝ่ายบริหารอาจต้องก็เงินมากถึงพันล้านบาท 3.โอกาสที่จะได้กำไรจากโครงการดังกล่าวแทบไม่มี เพราะตัวเลขโฆษณาที่จะต้องขายเพื่อให้ได้คุ้มทุนยังสูงถึง 5 แสนบาทต่อนาที ซึ่งคำถามทั้งหมดนายจักรพันธุ์ไม่สามารถตอบคคำถามได้ และมีอารมณ์ฉุนเฉียวโดยถามกลับว่า “ได้ข่าวว่ามีพนักงานจะไล่ผมเหรอ ใครจะไล่ผม”
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้นายสุธรรมและนายจักรพันธุ์ได้เรียกผู้ช่วยกรรมการสายงานการตลาดและธุรกิจมาพูดคุยหลายครั้ง พร้อมทั้งให้รองกรรมการฯ ที่ดูแลการตลาด โยกงบประมาณจากไตรมาสอื่นๆ ที่เป็นงบที่วางไว้แล้วมาลงในโครงการนี้เพื่อให้ดูตัวเลขว่าได้กำไร ขณะที่พนักงานจำนวนมากหรือเกือบทั้งหมดไม่เอาด้วยกับโครงการดังกล่าว และเห็นว่านายสุธรรมและนายจักรพันธุ์ จ้องที่จะเข้ามาหาผลประโยชน์และการอ้างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร
โครงการนี้ หากอสมท.ซื้อสิทธิ์จากบริษัทซีทีเอซมาจริง จากตัวเลข 480 ล้านบาทตลอด 3 ฤดูกาลที่ซีทีเอชประมูลมาได้ จะทำให้อสมท.ต้องจ่ายต่อปีถึง 160 ล้านบาท สามารถถ่ายทอดได้ 17 นัด หรือต่อนัด อสมท.ต้องจ่ายเงินสูงถึงนัดละ 9.4 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ผ่านมา นายจักรพันธ์ได้อาศัยช่วงรักษาการตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ รวบรัดเช่าซื้อวีดีโอวอล์ราคาสูงถึง 70 ล้านบาท ทั้งที่มีการทักท้วงจากผู้บริหารจำนวนมาก และเมื่อครบ 1 ปี ในเดือนมิ.ย.นี้ ก็ยังมีความพยายามี่จะให้ต่อสัญญาออกไปอีก ขณะที่นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้ให้ฝ่ายเทคนิกนำเสนอตัวเลือกว่าการจัดซื้อเลยแทนการเช่าจะคุ้มค่ากว่าหรือไม่ ซึ่งมีข้อสรุปว่า คุ้มค่ากว่า แต่เมื่อนำเข้าบอร์ดพิจารณาเมื่อเดือนที่ผ่านมา นายจักรพันธุ์ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยและต้องการให้มีการเช่าต่อไปอีก ทั้งๆ ที่จะทำให้อสมท เสียประโยชน์มากกว่า ขณะที่นายจักรพันธุ์ได้เข้าไปขอจัดรายการตามสถานีวิทยุต่างๆ ของอสมท ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นถึงบอร์ดบริหาร แต่กลับมาขอจัดรายการวิทยุ สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาทำมาหากินและมาแสวงหาผลประโยชน์จากองค์กรและยังขัดกับหลักธรรมาภิบาลที่ดีที่ผู้กำกับดูแลนโยบายไม่ควรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับกับดำเนินกิจการ