เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (13 มิ.ย.) ที่สำนักนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) ทำเนียบรัฐบาล นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย พร้อมด้วย นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เลขาธิการ สบอช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการมีความพึงพอใจ ในการเจรจาปรับลดราคา ของบริษัทที่ได้คะแนนเป็นลำดับที่ 1 ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ไป จะนำผลการประชุมที่ได้เข้าสู่ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่จะมีการประชุมในวันนี้ (14 มิ.ย.) จากนั้นจะนำผลการประชุม เสนอต่อ ที่ประชุม ครม.เพื่อขอความเห็นชอบ ในวันอังคารที่ 18 มิ.ย.นี้
นายธงทอง กล่าวว่า แม้ว่าครม.จะให้ความเห็นชอบตามที่เสนอ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องดำเนินการทำสัญญากับบริษัทดังกล่าวทันที เพราะจะต้องมีการกำหนดรายละเอียด ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษา เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และคาดว่าจะใช้เวลา 2 –3 เดือนจึงจะมีการทำสัญญา ทั้งนี้ เมื่อครม. มีมติรับทราบ และในระหว่างการดำเนินโครงการ ก็จะไม่มีการเพิ่มจำนวนเงินอีก เนื่องจากได้มีการกำหนดเพดานของงบประมาณในแต่ละแผนงานไว้แล้ว และได้ยืนยันว่า จะไม่มีการปรับเพิ่มวงเงินอีกอย่างแน่นอน โดยจากนี้จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ที่จะต้องดำเนินการที่จะกู้เงิน ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ให้ทันภายใน วันที่ 30 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกู้เงินเพื่อมาเก็บไว้ เพียงแต่การบอกว่าต้องใช้เงินในการดำเนินโครงการจำนวนเท่าใด ส่วนภาระดอกเบี้ย ได้ตกลงกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ถ้ายังไม่มีการใช้เงินจำนวนดังกล่าว ก็จะไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ย และคงอยู่ที่ ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ได้คะแนนอันดับ 1 ทั้ง 9 โมดูล ที่ผ่านการเจรจาต่อรองทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ถือว่าจะเป็นบริษัทที่เข้ามารับงาน เพราะวันข้างหน้า หากไม่มาทำสัญญา ด้วยเหตุใดก็ตาม ก็จะไม่มีการเรียกบริษัทที่ได้ลำดับถัดไปมาดำเนินโครงการ เพราะคณะกรรมการชุดนี้ ได้หมดหน้าที่ลงแล้ว
นอกจากนี้ ตัวเลขที่มีการต่อรองราคาเป็นที่เรียบร้อยแล้วไม่สามารถเปิดเผยได้ เมื่อเข้าไปสู่ที่ประชุม กบอ. แล้วจะมีการปรับราคาลงไปอีกหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของ กบอ.โดยเชื่อว่าวันอังคารนี้ จะสามารถได้คำตอบที่ชัดเจน
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการหารือกับ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และคณะ ว่า วัตถุประสงค์หลักคือ เราจะช่วยกันทำอย่างไรที่จะทำให้โครงการบริหารจัดการน้ำ ประสบความสำเร็จ มีคุณภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง โดยมีข้อสรุปว่า จากนี้แม้ว่าเราจะมีการเสนอข้อเสนอต่างๆ หรือมีการเปิดราคาไปแล้วก็ตาม ก็สามารถที่จะปรับปรุงได้อีก โดยไม่เกินราคาที่ได้มีการเสนอ เป็นไปตามระบบดีไซน์แอนด์บิ้วท์ ซึ่งก็เป็นโอกาสที่เราจะนำข้อเสนอต่างๆ มาเปิดเผยในสาธารณชน เพื่อดูว่าใครมีข้อคิดเห็นอย่างไร เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวต่อว่า ภาคเอกชนสนับสนุนให้ดำเนินการ เพราะเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะเมื่อมีผลกระทบ ก็จะได้รับผลแรงมาก โดยในช่วงนี้ จะเป็นช่วงที่เราต้องชี้แจงกับทั้งภาคเอกชน และประชาชน ด้วยเหตุด้วยผล และยึดประเทศชาติเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้ประชาชนทราบว่าโครงการไหนจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด ส่วนกรณีศาลปกครอง ที่จะมีการนัดพิพากษาคดีเพิกถอนโครงการบริหารจัดการน้ำ ในวันที่ 27 มิ.ย. นั้น ก็ต้องไปตามคำสั่งศาล ซึ่งเราต้องเคารพ และปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เราต้องติดตาม
นายธงทอง กล่าวว่า แม้ว่าครม.จะให้ความเห็นชอบตามที่เสนอ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องดำเนินการทำสัญญากับบริษัทดังกล่าวทันที เพราะจะต้องมีการกำหนดรายละเอียด ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษา เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และคาดว่าจะใช้เวลา 2 –3 เดือนจึงจะมีการทำสัญญา ทั้งนี้ เมื่อครม. มีมติรับทราบ และในระหว่างการดำเนินโครงการ ก็จะไม่มีการเพิ่มจำนวนเงินอีก เนื่องจากได้มีการกำหนดเพดานของงบประมาณในแต่ละแผนงานไว้แล้ว และได้ยืนยันว่า จะไม่มีการปรับเพิ่มวงเงินอีกอย่างแน่นอน โดยจากนี้จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ที่จะต้องดำเนินการที่จะกู้เงิน ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ให้ทันภายใน วันที่ 30 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกู้เงินเพื่อมาเก็บไว้ เพียงแต่การบอกว่าต้องใช้เงินในการดำเนินโครงการจำนวนเท่าใด ส่วนภาระดอกเบี้ย ได้ตกลงกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ถ้ายังไม่มีการใช้เงินจำนวนดังกล่าว ก็จะไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ย และคงอยู่ที่ ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ได้คะแนนอันดับ 1 ทั้ง 9 โมดูล ที่ผ่านการเจรจาต่อรองทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ถือว่าจะเป็นบริษัทที่เข้ามารับงาน เพราะวันข้างหน้า หากไม่มาทำสัญญา ด้วยเหตุใดก็ตาม ก็จะไม่มีการเรียกบริษัทที่ได้ลำดับถัดไปมาดำเนินโครงการ เพราะคณะกรรมการชุดนี้ ได้หมดหน้าที่ลงแล้ว
นอกจากนี้ ตัวเลขที่มีการต่อรองราคาเป็นที่เรียบร้อยแล้วไม่สามารถเปิดเผยได้ เมื่อเข้าไปสู่ที่ประชุม กบอ. แล้วจะมีการปรับราคาลงไปอีกหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของ กบอ.โดยเชื่อว่าวันอังคารนี้ จะสามารถได้คำตอบที่ชัดเจน
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการหารือกับ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และคณะ ว่า วัตถุประสงค์หลักคือ เราจะช่วยกันทำอย่างไรที่จะทำให้โครงการบริหารจัดการน้ำ ประสบความสำเร็จ มีคุณภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง โดยมีข้อสรุปว่า จากนี้แม้ว่าเราจะมีการเสนอข้อเสนอต่างๆ หรือมีการเปิดราคาไปแล้วก็ตาม ก็สามารถที่จะปรับปรุงได้อีก โดยไม่เกินราคาที่ได้มีการเสนอ เป็นไปตามระบบดีไซน์แอนด์บิ้วท์ ซึ่งก็เป็นโอกาสที่เราจะนำข้อเสนอต่างๆ มาเปิดเผยในสาธารณชน เพื่อดูว่าใครมีข้อคิดเห็นอย่างไร เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวต่อว่า ภาคเอกชนสนับสนุนให้ดำเนินการ เพราะเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะเมื่อมีผลกระทบ ก็จะได้รับผลแรงมาก โดยในช่วงนี้ จะเป็นช่วงที่เราต้องชี้แจงกับทั้งภาคเอกชน และประชาชน ด้วยเหตุด้วยผล และยึดประเทศชาติเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้ประชาชนทราบว่าโครงการไหนจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด ส่วนกรณีศาลปกครอง ที่จะมีการนัดพิพากษาคดีเพิกถอนโครงการบริหารจัดการน้ำ ในวันที่ 27 มิ.ย. นั้น ก็ต้องไปตามคำสั่งศาล ซึ่งเราต้องเคารพ และปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เราต้องติดตาม