xs
xsm
sm
md
lg

71%เชื่อมีสวาปามงบ57 พท.อ้าง ปูแจงดี ทำ8งูเห่าโหวตผ่าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้(2 มิ.ย.56)นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง "สถานการณ์ข่าว ความสนใจของสาธารณชน กับความอยู่รอดของรัฐบาล" ที่สำรวจประชาชนใน 18 จังหวัด จำนวน 2,192 คน โดยพบว่าประชาชนสนใจติดตามข่าวราคาไข่ไก่ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แพง มากถึงร้อยละ 79.7 รองลงมาเป็นข่าวเด็กเล็กเสียชีวิต ร้อยละ 76.6 ข่าวยาเสพติดและอาชญากรรม ร้อยละ 73.4 และข่าวความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร้อยละ 68.9
ส่วนความเชื่อมั่นต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่าจะทำให้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้คลี่คลายไปได้ด้วยดี พบว่าส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 67.8 เชื่อมั่นมาก ถึงมากที่สุด
ส่วนการรับรู้ รับทราบคำยืนยันของรัฐบาล ว่าจะใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใส พบว่าส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 60.5 ทราบแล้วต่อคำยืนยันชวนเชื่อของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 71.1 ยังเชื่อมั่นน้อย ถึงไม่เชื่อมั่นเลย ว่ารัฐบาลจะใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใส นอกจากนี้ ร้อยละ 89.7 ยังไม่พบเห็นวิธีการที่รัฐบาลใช้จนสร้างความวางใจได้ต่อความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ 83.1 ยังระบุว่า รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้สาธารณชนเข้าถึงการมีส่วนร่วมบริหารจัดการงบประมาณของรัฐบาล ระดับมาก ถึงมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 58.9 ยังคงเชื่อมั่นถึงการอยู่รอดของรัฐบาล
สวนดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่สนใจติดตามการอภิปรายทั่วประเทศ จำนวน 1,139 คน ในหัวข้อ การอภิปรายงบประมาณรายจ่ายปี 2557 ซึ่งที่ประชาชนประทับใจหรือพอใจในการอภิปรายครั้งนี้ พบว่า ร้อยละ 42.47 เห็นว่าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างเตรียมตัวมาดี มีข้อมูลเอกสารต่างๆ มาประกอบการอภิปราย ขณะที่ร้อยละ 31.50 เห็นว่า ได้รับข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากขึ้น
ส่วนสิ่งที่ประชาชนไม่ประทับใจหรือพอใจในการอภิปรายครั้งนี้ ร้อยละ 34.88 เห็นว่าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านยังคงโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้งลุกขึ้นประท้วงเหมือนเดิม ขณะร้อยละ 30.23 เห็นว่า พูดนอกประเด็นนำเรื่องเก่ามาพูด พูดไม่ตรงตามหัวข้อการอภิปราย
นอกจากนี้ ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านประชาชนเชื่อข้อมูลใครมากกว่ากัน พบว่า ร้อยละ 38.59 ไม่เชื่อทั้ง 2 ฝ่าย เพราะมีแต่การโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้ง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หยิบยกแต่เรื่องเก่าๆ นอกประเด็นมาพูด
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แสดงให้เห็นว่า การชี้แจงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจงได้อย่างชัดเจน รวมถึงการทำงบประมาณปี 57 เป็นการดำเนินอย่างสุจริต โปร่งใสและตรวจสอบได้ แม้ฝ่ายค้านใช้เวทีการอภิปรายงบประมาณปี 57 แต่กลับใช้รูปแบบเหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในประเด็นเรื่องจำนำข้าว และเรื่องการซื้อรถของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นการพิมพ์เอกสารผิด ซึ่งรัฐบาลได้ชี้แจงอย่างชัดเจน จนได้รับคะแนนอย่างท่วมท้น 292 เสียง
ดังนั้นการมุ่งโจมตีการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการกล่าวหาว่า ส่อไปทางทุจริตเป็นลักษณะเกมการเมือง แทนที่จะเอาข้อมูลที่มีไปใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยทางพรรคเพื่อไทย จะลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะจะจัด “เวทีเพื่อไทย เพื่ออนาคตประเทศไทย” วันที่ 8 มิ.ย.จ.พิษณุโลก วันที่ 9 มิ.ย. จ.พระนครศรีอยุธยา และวันที่ 15 มิ.ย. ที่จ.ระยอง รวมถึงบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล
กรณีส.ส.ฝ่ายค้าน บางส่วนเตรียมย้ายมาเข้าร่วมกับพรรครัฐบาลหรือไม่ นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มี การสนับสนุนเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าย้ายเข้ามาอีกไม่กี่เสียง ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ถ้าเอกสิทธิ์ของ ส.ส. ว่าถ้าเห็นรัฐบาลทำถูก การย้ายยังไม่มี แต่อนาคตยังไม่ทราบ
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณี นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตรวจสอบการตั้งกรรมาธิการข้ามพรรค ในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 57 ที่นำสัดส่วนกรรมาธิการของฝ่ายค้านไปให้รัฐบาล ว่าเป็นการกล่าวหาบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งถ้ามีการตรวจสอบกฎหมายข้อบังคับของการประชุมรัฐสภา ปรากฏว่า การตั้งกรรมาธิการข้ามพรรคไม่เป็นการผิดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการตั้งกรรมาธิการในโควต้าพรรคเพื่อไทย ไม่เข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 135 เป็นสิทธิที่สามารถดำเนินการได้ จะนำใครเป็นกรรมาธิการก็ได้ ส.ส.หรือไม่ใช่ ส.ส. ก็ดำเนินการได้ ไม่แปลก ตนมองว่าสิ่งที่นายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์แพ้โหวตในสภา วันนี้ยังใช้เรื่องการตั้งกรรมาธิการมาเป็นเกมการเมือง จ้องโจมตีรัฐบาลเป็นเรื่องหยุมหยิม ไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์ ตามที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า การตั้งกรรมาธิการถือว่าไม่ผิดระเบียบข้อบังคับของสภา และไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่อย่างใด
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่างยประมาณปี 2557 เป็นฉบับซุกหนี้ ผลักภาระ ตัดสิทธิ์ประชาชน ที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ ซุกหนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นธาตุแท้ของรัฐบาลนี้ ว่าผู้สร้างภาพเป็นผู้ประหยัด ทำงบขาดดุลน้อยกว่าปีที่ผ่านมาถึง 50,000 ล้าน แต่มีการกู้เงินนอกระบบ ทั้งโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้าน เพื่อพัฒนาโครงสร้างคมนาคมของประเทศ และโครงการกู้เงินเพื่อบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ส่วนการผลักภาระหนี้ให้ประชาชนอีกอย่างน้อย 60,000 ล้านบาท คือ 30,000 ล้านบาท มาจากการเก็บภาษีน้ำมันดีเซล เพิ่มอีกลิตรละ 1.30 บาท และอีก 30,000 ล้านบาท จากการขึ้นราคาแก๊สแอลพีจีอีกกิโลกรัมละ 10 บาท
ขณะที่การจัดพิมพ์เอกสารงบประมาณในการจัดซื้อรถตู้โรงเรียน ที่อ้างว่าพิมพ์เอกสารผิดไปกว่า 1,000 ล้านบาท ถือเป็นความอำมหิต เพราะนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กก็อำมหิตพอแล้ว การพิมพ์ผิดกว่า 10 จุดที่สอดรับกัน จึงเป็นการแก้ตัวและส่อว่าจะทุจริตอย่างชัดเจน
ส่วนการตัดสิทธิ์ประชาชน เห็นได้จากการการปรับลดงบประมาณโครงการให้ชุมชนได้บริหารจัดการตนเองแต่กลับให้งบประมาณเพียง 500 กว่าล้านบ้าน จากที่ขอไปกว่า 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังไม่จัดสรรงบประมาณให้กับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ทั้งที่รัฐบาลที่ผ่านมาได้วางรากฐานไว้แล้ว แต่ขณะนี้ผ่านมา 2 ปี รัฐบาลยังไม่เริ่มต้น เพราะแค่รัฐบาลใส่เงินในโครงการเป็นเงินตั้งต้น 1,000 ล้านบาท ก็เริ่มต้นโครงการได้แล้ว การกระทำของรัฐบาลจึงเป็นการตัดสิทธิ์ประชาชนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่อยากมีเงินบำนาญในช่วงเกษียณอายุราชการ แต่กลับไปทุ่มให้กับโครงการรถคันแรก
กำลังโหลดความคิดเห็น