xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณคือสัญลักษณ์ประชาธิปไตยจอมปลอม

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร


ผมเขียนบทความ เขียนบทกวี แสดงตนเป็นปฏิปักษ์แบบเปิดหน้าชกกับระบอบทักษิณและบรรดาพวกจิตวิปริตที่จ้องจาบจ้วงทำลายสถาบันมาตั้งแต่เกษียณจากราชการเมื่อหลายปีก่อน ไม่ได้เคยมีความเคียดแค้นชิงชังเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด เพราะจะว่าไปในช่วงปลายของการรับราชการ ผมก็เป็นข้าราชการผู้หนึ่งที่ได้รับคุณูปการทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ และเงินดาวเงินเดือนเงินประจำตำแหน่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย จากการบริหารอำนาจรัฐแบบใจถึงพึ่งได้ของทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่ได้โปรยหว่านให้เฉพาะรากหญ้า หากแต่หว่านให้ราชการด้วย เพื่อแลกกับการบริหารราชการแบบบริษัทไม่จำกัดตามอำเภอใจสไตล์นายทุนที่แอบค้ากำไรถอนทุนคืนอย่างแยบยล

ที่สาธยายมาอย่างนี้ก็เพื่อจะบอกกล่าวกับบรรดาอีแอบเสื้อแดงทั้งหลาย ที่เข้าใจผิดคิดว่า คนเกษียณจากราชการที่พากันออกมาต่อต้านทักษิณ อย่างเป็นขบวนการ คงจะเป็นพวกที่ได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจหรือไม่สมปรารถนาในการรับราชการขณะ ทักษิณครองอำนาจซึ่งหาใช่ไม่ และผมก็คงจะพูดแทนข้าราชการคนอื่นๆ ได้ด้วยว่า ที่พวกเราพากันออกมาต่อต้านความไม่ถูกต้องของระบอบทักษิณอย่างไม่ลดละทั้งที่เฒ่าชะแรแก่ชราสมควรพักผ่อนกันแล้วนั้น ก็เพียงเพราะสำนึกในบุญคุณแผ่นดินและเห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติโดยส่วนรวมมากกว่าประโยชน์โภคผลสารพัดสารพันที่ทักษิณปรนเปรอให้ไม่อั้นแบบบริโภคนิยมเท่านั้นเอง

เข้าใจให้ถ่องแท้ได้อย่างนี้ บรรดาอีแอบเสื้อแดงทั้งหลาย ก็จะได้ไม่มาจีบปากจีบคอกระแหนะกระแหนว่า เป็นพวกข้าราชการอกหักอะไรทำนองนั้น บอกให้ก็ได้ว่าที่จริงส่วนใหญ่เขาเหล่านั้นต่างหลุดรอดพ้นพงหนามได้ทันเวลา ทันการณ์ต่างหากเล่า จึงไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้ระบอบทักษิณย่ำยีเหมือนบรรดาข้าราชการที่หวานอมขมกลืนอยู่ใต้อำนาจระบอบทักษิณอย่างในปัจจุบันนี้ 

ถ้าจะตั้งประเด็นถกเถียงกันเรื่องระบอบทักษิณกับระบบราชการไทย ก็คงต้องใช้พื้นที่มากมายเกินกว่าขอบเขตบทความเล็กๆ นี้จะครอบคลุมถึงได้ จึงคงสรุปประเด็นได้แต่พอสังเขปเปรียบเทียบให้เห็นความจริงแท้ว่า ในยุคทักษิณ ชินวัตร ระบบราชการไทยได้ถูกปู้ยี่ปู้ยำจนแทบจะสิ้นสภาพราชการไทยแบบเดิมๆ อีกต่อไป แล้ว การปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมยุบเลิกและตั้งใหม่ในยุคของทักษิณ หากดูผิวเผินก็เสมือนหนึ่งการลงมือผ่าตัดปฏิรูปโครงสร้างราชการไทย ซึ่งเป็นที่ฮือฮาว่าระบบราชการจะถูกพัฒนาให้เป็นระบบที่ทันสมัยเทียบเทียมนานาอารยประเทศ หากแต่เพราะการผ่าตัดแบบมีผลประโยชน์แอบแฝงซ่อนเร้น ไม่ว่าจะการตั้งกระทรวงไอซีทีหรือกระทรวงพลังงาน และอื่นๆ อีกหลายหน่วยงานกลับกลายเป็นการตั้งเพื่อสนองการบริหารจัดการผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มเฉพาะตนของระบอบทักษิณอย่างเมามัน ทักษิณเก่งในการสร้างภาพให้เห็นว่ากล้าคิดกล้าทำ และคิดนอกกรอบ ซึ่งกูรูทางการเมืองหลายท่านเคยปรารภเสียดายว่า ถ้าเขาสุจริตและเที่ยงตรง รักบ้านรักเมืองมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ความกล้าได้กล้าเสียของเขาจะเป็นคุณูปการแก่ประเทศไทยอย่างใหญ่หลวงมากกว่านักการเมืองพรรคเก่าแก่อื่นๆ ที่เล่นการเมืองแบบตามก้นข้าราชการ ไม่กล้าคิดกล้าทำและคิดนอกกรอบไม่เป็นเหมือนทักษิณ

ตัวอย่างที่เห็นชัดอย่างหนึ่ง ก็คือการประกาศใช้หลักการบริหารแบบซีอีโอ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเป็นผู้ว่าซีอีโอ ทำนองว่าให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในจังหวัด เพื่อจะได้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ภูมิภาคได้อย่างฉับไว ซึ่งก็ฟังดูดีมาก หากทักษิณทำจริงตามนโยบายและหลักการวิธีการที่กำหนด แต่เอาเข้าจริง เขาก็กลับบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ตัวเขาเพียงคนเดียว ด้วยการทัวร์นกขมิ้นไปตามจังหวัดต่างๆ รับฟังปัญหาชาวบ้านด้วยตนเอง และสั่งแก้ไขสั่งอนุมัติงบประมาณในพื้นที่ตามอำเภอใจแบบไม่แยแสระเบียบขั้นตอนงบประมาณแผ่นดิน มิหนำซ้ำยังเป็นการแก้ปัญหาแบบสร้างภาพที่ปลายเหตุ สุกเอาเผากินไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องและถูกจุดแต่อย่างใด 

นอกจากนั้นยังจัดรายการวิทยุทักษิณพบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ โดยเป็นรายการที่หนักไปในทางตำหนิและสั่งการไปยังจังหวัดต่างๆ ทำให้ผู้ว่าซีอีโอทุกจังหวัด ต้องนั่งกอดวิทยุทุกวันเสาร์ไม่กล้าออกจากจวนไปไหน เพื่อเฝ้าระวังข้อตำหนิและข้อสั่งการที่อาจเกี่ยวเนื่องกับจังหวัดของตนเอง ซึ่งในครั้งกระนั้นถึงกับมีคำล้อเลียนในหมู่นักปกครองว่า เป็น “Satterday  Policy” อย่างนี้เป็นต้น คือตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ทักษิณสร้างภาพอย่างหนึ่งแต่ปฏิบัติจริงอีกอย่างหนึ่ง แต่เดิมผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งถือเป็นข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ ดูแลการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของปวงราษฎร จึงกลับกลายเป็นผู้ว่าซีอีโอที่ตัวสั่นงันงกกับ “Satterday Policy” ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไร เพราะต้องคอยเฝ้าระวังคำสั่งการประกาศิตจากซีอีโอตัวจริงเสียงจริง ที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวในตึกไทยคู่ฟ้า

ในยุคเรืองอำนาจ ทักษิณบริหารราชการและประเทศชาติแบบบริษัทจำกัด และเป็นผู้บริหารแบบซีอีโอจริงๆ แม้แต่ในการประชุม ครม.ที่รัฐมนตรีทุกคนเหมือนถูกกำหนดให้เป็นลูกจ้างบริษัท ที่ต้องคอยรับฟังคำสั่งจากนายจ้างคือทักษิณที่เป็นเจ้าของบริษัทแต่เพียงถ่ายเดียว ถ้ายังจำกันได้ ในยุคนั้น ทักษิณประชุม ครม.แบบเทศนาสอนสั่งยิ่งกว่าพ่อปกครองลูก มีการไล่ให้รัฐมนตรีไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้เหมือนสั่งการบ้านแก่เด็กนักเรียน นับเป็นการบริหารอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นเผด็จการอย่างแท้จริง และลองย้อนกลับไปดู จะเห็นว่ามีการสับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบ่อยมาก ด้วยวิธีการโปรยตำแหน่งแบบต่างตอบแทน โดยมิได้คำนึงถึงความสามารถหรือความเหมาะสมกับตำแหน่งงานแต่อย่างใด

ผมจึงอดขำและอดสังเวชไม่ได้ เมื่อคนเสื้อแดงและสาวกทักษิณทั้งหลาย ต่างพากันยกย่องว่าทักษิณคือสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย  ซึ่งรวมไปถึงบรรดาด็อกเตอร์เสื้อแดง  และนักวิชาการอีแอบเสื้อแดงทั้งหลายทั้งปวงด้วย

ที่ต่างนิยมยกย่องว่าระบอบทักษิณคือระบอบประชาธิปไตย คนเสื้อแดงเป็นฝ่ายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เว้นแม้แต่โพยที่ลิ่วล้อทักษิณเขียนให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปอ่านอย่างไม่อายฟ้าอายดินว่า ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว เป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ถูกประเทศไทยรังแก

ประชาธิปไตยที่ฝ่ายทักษิณและพวก กล่าวอ้างมาโดยตลอด ก็คือการยึดเอาการเลือกตั้งที่ได้จำนวน ส.ส.เข้ามาสู่รัฐสภามากกว่าพรรคอื่นๆ มิไยที่จะมีผู้คนทักท้วงติติงว่า เป็นการเลือกตั้งที่ฉ้อฉล ไม่ซื่อไม่ตรง  ฝ่ายทักษิณก็จะโมเมรวบหัวรวบหางว่านี่แหละคือระบอบประชาธิปไตย  และทักษิณ ชินวัตร  คือฝ่ายประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้งๆ ที่พฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะการกระทำของทักษิณหรือกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แสดงออกต่อฝ่ายตรงข้าม นับว่าเป็นเผด็จการยิ่งกว่าเผด็จการใดๆ ไม่ว่าจะยกพวกไปทำร้ายทำลายการตั้งเวทีปราศรัยของพรรคการเมืองอื่น ขัดขวางการแสดงออกทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามแบบอันธพาลครองเมือง ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมกันแบบยุยงกันให้หยิบฉวยสิ่งของในห้าง ยุยงกันให้เผาบ้านเผาเมือง อย่างที่ปรากฏหลักฐานในคลิปวิดีโอต่างๆ และภาพความป่าเถื่อนแบบประชาธิปไตยสีแดงที่ติดตาคนไทยทั้งประเทศ ก็คือภาพการทุบทำร้ายรถนายกอภิสิทธิ์ และรถเลขาธิการนายกฯ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อย่างบ้าคลั่งที่กระทรวงมหาดไทย ภาพการบุกทุบตีคนเสื้อเหลืองมือเปล่าอย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อนที่หนองประจักษ์ จังหวัดอุดรธานี

แม้แต่ในปัจจุบันนี้ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเชิดน้องสาวสุดเลิฟ ที่ถึงกับประกาศว่าเป็นโคลนนิ่งของตนขึ้นครองอำนาจรัฐเป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้ว ทักษิณก็ยังวางตนเป็นผู้บริหารอำนาจรัฐตัวจริงเสียงจริงเสียเอง แบบยิ่งกว่าซีอีโอเผด็จการ ด้วยการสไกป์เข้ามาสั่งการทั้งในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย และเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดง ตลอดเวลา โดยสั่งการทั้ง ส.ส. และรัฐมนตรีอย่างไม่แยแสว่ามันขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดิน และขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างน่าเกลียดน่าชังอย่างไร

และที่น่าอเนจอนาถอย่างรับไม่ได้เลยก็คือ ตำแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการประจำ ก็ล้วนต้องผ่านการเห็นชอบจากทักษิณแต่ผู้เดียวเท่านั้นจึงจะแต่งตั้งได้ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ปลัดกระทรวง และอธิบดีต่างๆ แทบจะเป็นหัวหลักหัวตอ ต้องรอฟังคำสั่งจากทางไกลแต่เพียงอย่างเดียว  ดังจะเห็นได้จาก  ทุกฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือใกล้วาระการปรับ ครม.นักการเมืองและข้าราชการน้อยใหญ่ไม่เว้นแม้แต่นายทหารและนายตำรวจระดับสูง ต่างต้องวิ่งเต้นนั่งเครื่องบินไปจิ้มก้องซีอีโอถึงฮ่องกงหรือดูไบทุกครั้งไป ดูเป็นเรื่องพิสดารพันลึกของฝ่ายประชาธิปไตยจ๋าที่อำนาจอยู่กับข้าคนเดียว อย่างน่าหัวเราะให้น้ำตาไหล

ภาพจริงมันกระจ่างชัด ชัดแจ้งแดงแจ๋ออกอย่างนี้ อยากตะโกนถามบรรดานักวิชาการและอีแอบเสื้อแดงทั้งหลายดังๆ ว่า ทักษิณและคนเสื้อแดง มันเป็นประชาธิปไตยกันตรงไหนวะ! มันเป็นประชาธิปไตยกันตรงไหนโว้ย! 

กำลังโหลดความคิดเห็น