xs
xsm
sm
md
lg

“เหลี่ยม” จับมือกับ “อเมริกา” ยึดชาติไทย! (ตอนเจ็ด)

เผยแพร่:   โดย: ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

โลกตึงเครียดสุดเหยียด ยุครัฐนายทุนอเมริกาและยุโรป เผชิญหน้ารัฐคอมมิวนิสต์รัสเซียและจีน!

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกาและยุโรปที่ครองโลก เริ่มเจอคู่ต่อกรที่แกร่งกล้าอย่างคอมมิวนิสต์รัสเซีย ในปี พ.ศ. 2460

สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จีน-ที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ก็เปลี่ยนเป็นรัฐคอมมิวนิสต์อีกแห่ง ห้วงปี พ.ศ. 2492 แถมเกาหลีที่ถูกแบ่งเป็น 2 ประเทศ โดยใช้เส้นขนาน (ละติจูด, เส้นรุ้ง) ที่ 38 องศา เป็นเส้นเขตแดนเหนือ-ใต้

อเมริกาครองเกาหลีใต้ไว้ในกำมือ ส่วนเกาหลีเหนือกลายเป็นคอมมิวนิสต์ มี “คิม อิล ซุง”เป็นประธานาธิบดีคนแรก ที่ชาวเกาหลีเหนือถือเป็นรัฐบุรุษ ผู้ต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นและสร้างชาติ โดย “คิล อิล ซุง” มีรัสเซียและจีนหนุนหลัง

ดังนั้น รัฐคอมมิวนิสต์รัสเซียและจีน จึงเป็น “ขาใหญ่” ที่สนับสนุนการปฏิวัติ ของประชาชนผู้ยากไร้ในประเทศต่างๆ ทั้งลับและเปิดเผยไปทั่วโลก!

10 ปีหลังชัยชนะของรัฐคอมมิวนิสต์จีน คิวบาก็โค่นล้มรัฐบาลเผด็จการทหารที่อเมริกาหนุนหลัง และสร้างรัฐสังคมนิยมแห่งแรกของคอมมิวนิสต์ ที่มีเขตแดนทางทะเลห่างจากหน้าบ้านอเมริกาเพียง 100 กิโลเมตรในช่วงปี พ.ศ. 2502

26 ปีหลังชัยชนะของคอมมิวนิสต์จีน วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 ทหารอเมริกันที่รุกรานประเทศเวียดนาม ก็ถูกกองทัพปลดแอกประชาชนของ “โฮจิมินห์” บุกโจมตีกรุง “ไซ่ง่อน” จนแตกดังโพล๊ะ

ทหารอเมริกันทั้งหมดต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถอยกลับประเทศของตนอย่างไม่เป็นขบวน รวมทั้งผู้นำประเทศและข้าราชการชาวเวียดนาม ที่ขายตัวขายชาติรับใช้รัฐบาลอเมริกา บ้างโดนทหารคอมมิวนิสต์จับยัดคุก บ้างถูกประหารชีวิตเพราะทำความผิดไว้อย่างมหันต์ บ้างหนีจากบ้านเกิดเมืองนอนลงเรือประมง เร่ร่อนไปตาย “อำนาจรัฐเกิดจากกระบอกปืน” และ “พรรค(คอมมิวนิสต์)บัญชาปืน” ตามด้วยยุคผู้นำ “เติ้งเสี่ยวผิง” ที่ไม่ยึดหลักการตายตัว เพราะ “เติ้ง” ไม่สนใจว่า แมวต้องสีดำหรือสีขาว จะเป็นแมวสีอะไรก็ได้..ขอให้มันจับหนูได้ก็แล้วกัน

จีนใช้เวลาไม่กี่สิบปี ก็เปลี่ยนตนเองจากประเทศที่ยากจน กลายเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นอันดับ 2 ของโลกแทนญี่ปุ่น แถมยังเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของอเมริกา ซึ่งเป็นอภิมหาศัตรูของจีนอีกด้วย

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในอเมริกาและยุโรป บรรดาชาติฝรั่งตาน้ำข้าวเหล่านั้น โดยเฉพาะอิตาลีต้องร้องขอให้จีนเข้าไปช่วยกู้เศรษฐกิจให้กับพวกเขาอีกด้วย เหลือเชื่อไหมล่ะ..แต่นี่คือความจริงครับ!

ทั้งหมดเพราะผู้นำชาติจีนทั้งหลายรักชาติ จึงใช้อำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อชาติและประชาชน มิใช่ “เหลี่ยม-ปู” ที่ใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภา เพื่อโกงชาติบ้านเมืองให้กับตนเองและพวกพ้อง

ทำให้นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจของโลก ทั้งตะวันตกและตะวันออกล้วนเชื่อว่า จีนจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ติดอันดับ 1 ของโลกในศตวรรษนี้แหละ

นับจากวันที่ “เหมา เจ๋อตุง” กับสหายของเขา ยึดและเปลี่ยนระบอบการเมืองจีน ให้เป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ หรือในนามสาธารณรัฐประชาชนจีน ดินแดนมังกรหรือจีนได้ใช้นายกรัฐมนตรีไปทั้งหมด 7 คน นั่นคือ นายโจว เอินไหล นายหั้ว กั๋วเฟิง นายจ้าว จื่อหยาง นายหลี่ เผิง นายจู หรงจี นายเหวิน เจียเป่า และนายหลี่ เค่อเฉียง นายกฯ คนปัจจุบัน

ชาวจีนถือว่า “เติ้งเสี่ยวผิง” เป็น “บิดาแห่งความทันสมัย” เพราะ “เติ้งฯ” เป็นผู้ผลักดันให้ชาติจีนก้าวสู่ความทันสมัยในระดับโลกแทบทุกด้าน และด้วยผลจากนโยบายหรือวิธีคิดแบบ “เติ้งฯ” ได้ตกทอดมายังผู้นำจีนรุ่นหลังๆ อย่างต่อเนื่อง

จีนยุคใหม่สร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้และไกลได้ จีนส่งจรวดขึ้นโคจรอยู่บนห้วงอวกาศได้ จีนสร้างเครื่องบินล่องหนได้ อีกทั้งกำลังสร้างกองเรือบรรทุกเครื่องบิน และเรือดำน้ำที่ติดอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งกองเรือคุ้มกันที่พร้อมจะปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองคุ้มกันผลประโยชน์ของจีนไปทั่วโลก ไม่ต่างไปจากกองเรือของอเมริกาอีกด้วย

นั่นทำให้อเมริกาจะปล้นสะดมทรัพยากรอันมีค่าของประเทศที่เล็กกว่า แบบเอารัดเอาเปรียบจนไร้ความเป็นธรรมไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะมีมหาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างจีนมาเป็นเพื่อนหรือเป็นเกราะป้องกันตัว และต่อรองผลประโยชน์ได้นั่นเอง เช่น

อเมริกาเคยแบ่งผลประโยชน์จากก๊าซและน้ำมันให้กับประเทศเล็กๆ ที่เป็นเจ้าของทรัพยากรมีค่าเพียงแค่ 30% เท่านั้น แต่จีนที่ต้องการใช้พลังงานก๊าซและน้ำมันมากที่สุดชาติหนึ่ง ได้กลายเป็น “ลูกค้า” ที่เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้สูงถึง 70-80% ทำให้พ่อค้าน้ำมันอเมริกันหน้าเลือดที่เอาแต่ได้ เสียพื้นที่สัมปทานก๊าซและน้ำมันให้กับจีนมากมาย

ทำให้พ่อค้าน้ำมัน “ลุงแซม” ร้องเจี๊ยก “โอบามา” ประธานาธิบดีอเมริกา จึงต้องประกาศนโยบายปิดล้อมจีน ถึงขนาดต้องทยอยย้ายกองเรือของตนกว่า 60% มาเคลื่อนไหวอยู่ในย่านเอเชีย อีกทั้งอเมริกายังหนุนหลังทุกประเทศที่มีปัญหาข้อพิพาททางชายแดนให้แข็งข้อกับประเทศจีนอีกด้วย

สถานการณ์เช่นนี้แหละ..ที่ทำให้ “ไอ้เหลี่ยม” ตัดสินใจ “ชักเรือเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน” ด้วยการยอมตนเป็นขี้ข้า “ลุงแซม”ครับ!
กำลังโหลดความคิดเห็น