รอยเตอร์ - เหตุการณ์ที่ดาวเคราะห์น้อยขนาดครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอลตกใส่รัสเซียปลายสัปดาห์ที่แล้ว กระตุ้นให้นักวิจัยทั่วโลกลุกขึ้นมาเสนอแผนตรวจจับและรับมือการมาเยือนที่ไม่พึงประสงค์ของวัตถุจากอวกาศ กระนั้นผู้เชี่ยวชาญรัสเซียปรามว่าระบบดังกล่าวที่คาดว่าต้องใช้เงินถึง 2,000 ล้านดอลลาร์อาจไม่คุ้มค่า เนื่องจากเหตุการณ์ในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น
แม้เหตุการณ์ที่ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ตกใส่รัสเซียเมื่อวันศุกร์ (15) วันเดียวกับที่อุกกาบาตระเบิดเหนือพื้นดินหลายสิบกิโลเมตรนั้น เป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ทว่า แม้แต่ดมิทรี โรโกซิน รองนายกฯ คนที่ 1 แดนหมีขาวที่รับผิดชอบงานด้านอุตสาหกรรมกลาโหมยังเห็นว่ามีความจำเป็นต้องสร้างระบบป้องกันการคุกคามของวัตถุจากนอกโลก
กระนั้น ทั้งโรโกซินและประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่คิดว่าประเทศใดก็ตามควรใช้ขีปนาวุธนิวเคลียร์หยุดยั้งวัตถุจากอวกาศ เช่น กรณีอุกกาบาตพุ่งชนโลก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัสเซียเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวเกี่ยวกับอันตรายที่โลกกำลังเผชิญ โดยในการประชุมที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรียในวันจันทร์ (18) บรรดานักวิจัยเห็นพ้องว่า ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์จะต้องทุ่มเทมากขึ้น เพื่อตรวจจับและหาทางรับมือวัตถุจากอวกาศที่มุ่งหน้ามายังโลก
เอ็นอีโอ ชีลด์ที่ได้ทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยแนวคิดสำหรับประเด็นดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการสร้าง “Kinetic Impactor” คือการปล่อยยานอวกาศขึ้นไปยิงวัตถุกระแทกเข้าใส่ดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยเพื่อเปลี่ยนวิถีโคจรให้พ้นจากโลก และ “Gravity Tractor” คือการนำยานอวกาศไปจอดใกล้กับวัตถุเป้าหมายแล้วใช้จรวดขับดันเป็นตัวช่วยในการรักษาระยะห่างระหว่างตัวยานกับวัตถุ แรงดึงดูดของยานจะโน้มน้าวให้วัตถุค่อยๆ เบนเส้นทางออกไป และแนวทางสุดท้าย คือ การใช้อุปกรณ์นิวเคลียร์
ด้าน “ทีมปฏิบัติการ” สำหรับวัตถุใกล้โลก (นีโอ) ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เสนอตั้งเครือข่ายเตือนภัยดาวเคราะห์น้อยระหว่างประเทศ และกลุ่มที่ปรึกษาเพื่อกำหนดภารกิจในอวกาศในการจัดการกับภัยคุกคามชนิดนี้ และวางแผนรับมือภัยพิบัติที่อาจเกิดตามมา
ทิโมธี สปาห์ร ผู้อำนวยการไมเนอร์ พลาเน็ต เซนเตอร์ (เอ็มพีซี) จากหอดูดาวฟิสิกส์ดาราศาสตร์สมิธโซเนียน เรียกร้องให้ใช้ระบบ “อินฟราเรด” ในอวกาศเพื่อตรวจจับวัตถุใกล้โลกอย่างรวดเร็วกว่าระบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ขณะที่สำนักงานบริหารอวกาศและการบินแห่งชาติของสหรัฐฯ (นาซา) และองค์การอวกาศแห่งยุโรป (อีซา) เตือนมนุษยชาติให้เตรียมพร้อมรับผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่น กระบวนการอพยพคนจำนวนมาก
ด้านเดลเทฟ คอชนี ผู้รับผิดชอบกิจกรรมเกี่ยวกับวัตถุใกล้โลกในโครงการอวกาศของอีซา เสริมว่า ขณะนี้สามารถพิจารณาพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบหลังตรวจพบวัตถุใกล้โลกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่อยู่ห่างจากหน้าต่าง กระจก และโครงสร้างอื่นๆ และให้อยู่ภายในอาคาร โดยอ้างอิงเหตุการณ์ในปี 2008 ที่มีตรวจพบวัตถุนอกโลกก่อนที่จะตกในทะเลทรายในประเทศซูดาน 20 ชั่วโมง พร้อมคาดการณ์พื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบเบื้องต้นในอาณาบริเวณ 2,000 กิโลเมตร
คอชนีเสริมว่า ผู้เชี่ยวชาญของอีซาในเมืองดาร์มสตัดต์ของเยอรมนี มีแผนติดตั้งระบบตรวจสอบท้องฟ้าตอนกลางคืนด้วยกล้องโทรทรรศน์อัตโนมัติที่สามารถตรวจจับวัตถุก่อนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก
ขณะที่แกรี บี. ฮิวจ์ส นักวิจัยและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย โพลีเทคนิค สเตท เผยว่า กำลังคิดค้นระบบที่แปลงแสงอาทิตย์เป็นลำแสงเลเซอร์ที่สามารถใช้ทำลายหรือเปลี่ยนเส้นทางของดาวเคราะห์น้อย
ขณะที่ทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาวายเผยว่าพวกตนกำลังพัฒนาระบบกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ที่ชื่อ “แอตลาส” ซึ่งสามารถระบุตำแหน่งของดาวเคราะห์น้อยที่เป็นอันตรายก่อนที่มันจะพุ่งใส่โลก โดยคาดว่าระบบนี้จะสามารถส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าได้นานกว่า 1 สัปดาห์ สำหรับดาวเคราะห์น้อยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 45 เมตรและ 3 สัปดาห์สำหรับดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 137 เมตร ซึ่งถือว่านานพอที่จะอพยพคนออกจากพื้นที่เสี่ยงและดำเนินมาตรการป้องกันอาคารและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ได้
อย่างไรก็ดี บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างเตือนว่า การติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าเหล่านี้ซึ่งคาดว่ามีต้นทุนถึง 2,000 ล้านดอลลาร์นั้นอาจไม่คุ้มค่า เนื่องจากเหตุการณ์วัตถุจากอวกาศตกใส่โลกนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก และครั้งล่าสุดที่มีรายงานอุกกาบาตขนาดใหญ่พอๆ กับที่ตกใส่รัสเซียมาเยือนโลกนั้น ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1908 ทีเดียว