ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์”เคาะเป้าหมายส่งออกใหม่เหลือ 7-7.5% หลังเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้า ชะลอตัว เตรียมกิจกรรมเคาะประตูบ้าน ขนสินค้าไทยไปขาย พร้อมอัดงบช่วย SMEs ส่งออกให้ได้
บุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับลดเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2556 จาก 8-9% เหลือ 7-7.5% มูลค่า 2.45-2.46 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวลดลงเหลือ 3.3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.5% อีกทั้งเศรษฐกิจคู่ค้า ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่ยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ยังคงชะลอการจับจ่ายใช้สอย ขณะที่จีนที่เป็นตลาดใหม่ของไทย ก็มีเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกัน ไทยยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และยังมีปัญหาความผันผวนของค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการปรับตัวอ่อนค่าลงมาบ้างก็ตาม ส่วนปัญหารายสินค้า เช่น สินค้ากุ้ง มีปัญหาเกิดโรคตายด่วนในกุ้ง ทำให้ผลผลิตขาดแคลน และกระทบต่อการส่งออกในภาพรวมที่ลดลง
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า แนวทางการผลักดันการส่งออกในระยะสั้น กรมฯ จะเพิ่มกิจกรรม Knock Door Roadshow โดยจะนำคณะผู้ส่งออกบุกไปขายสินค้ายังประเทศต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งจะเน้นสินค้ากลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องนุ่งห่มเป็นกลุ่มแรก รวมทั้งจะนำโครงการ SMEs Proactive ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 3 ปี 300 ล้านบาทมาช่วยสนับสนุนให้ผู้ส่งออกขนาดกลางและเล็ก (SMEs) สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) กล่าวว่า ค่าเงินผันผวนรวดเร็วมากเมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง ธปท. ได้บริหารความเสี่ยงมาตลอด ทั้งการสนับสนุนลงทุนต่างประเทศ หรือการเอางบการเงินของธปท.เข้าไปซื้อจนขาดทุน แต่สุดท้ายค่าเงินก็ยังแข็งขึ้นในระยะสั้น ดังนั้น
รัฐควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับตัวในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม ธปท. ได้มีการหารือกับทาง พม่า ลาว มาเลเซีย และจีน เพื่อสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ พร้อมกับเตรียมจะประสานกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ไม่มีสภาพคล่องและไม่ได้ทำธุรกรรมการเงินกับธนาคาร และปรับเปลี่ยนให้ใช้บุคคลค้ำประกันแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกในวันที่ 20-21 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการประเมินการส่งออกในตลาดต่างๆ มีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง โดยตลาดที่ลดลง เช่น จีน ลดจาก 8% เหลือ 5-6% ลาตินอเมริกาลดจาก 15% เหลือ 10% เกาหลีใต้จากบวก 5% เหลือเป็นลบ 3% ส่วนตลาดที่ทรงตัว ได้แก่ สหภาพยุโรป 0% สหรัฐฯเพิ่มขึ้น 5% อาเซียน เพิ่ม 10% และญี่ปุ่น เพิ่ม 5%
สำหรับตลาดที่เพิ่มขึ้น เช่น พม่าเพิ่มจาก 30% เป็น 45% ตลาดอินเดียจาก 5% เป็น 10% รัสเซียและซีไอเอสเพิ่มจาก 5% เป็น 12% ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15% แอฟริกาเพิ่มจาก 5% เป็น 8% ตะวันออกลางเพิ่มขึ้น 5% ฮ่องกงเพิ่มจาก 1% เป็น 5% และอื่นๆ เพิ่มขึ้น 10%
บุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับลดเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2556 จาก 8-9% เหลือ 7-7.5% มูลค่า 2.45-2.46 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวลดลงเหลือ 3.3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.5% อีกทั้งเศรษฐกิจคู่ค้า ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่ยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ยังคงชะลอการจับจ่ายใช้สอย ขณะที่จีนที่เป็นตลาดใหม่ของไทย ก็มีเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกัน ไทยยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และยังมีปัญหาความผันผวนของค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการปรับตัวอ่อนค่าลงมาบ้างก็ตาม ส่วนปัญหารายสินค้า เช่น สินค้ากุ้ง มีปัญหาเกิดโรคตายด่วนในกุ้ง ทำให้ผลผลิตขาดแคลน และกระทบต่อการส่งออกในภาพรวมที่ลดลง
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า แนวทางการผลักดันการส่งออกในระยะสั้น กรมฯ จะเพิ่มกิจกรรม Knock Door Roadshow โดยจะนำคณะผู้ส่งออกบุกไปขายสินค้ายังประเทศต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งจะเน้นสินค้ากลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องนุ่งห่มเป็นกลุ่มแรก รวมทั้งจะนำโครงการ SMEs Proactive ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 3 ปี 300 ล้านบาทมาช่วยสนับสนุนให้ผู้ส่งออกขนาดกลางและเล็ก (SMEs) สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) กล่าวว่า ค่าเงินผันผวนรวดเร็วมากเมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง ธปท. ได้บริหารความเสี่ยงมาตลอด ทั้งการสนับสนุนลงทุนต่างประเทศ หรือการเอางบการเงินของธปท.เข้าไปซื้อจนขาดทุน แต่สุดท้ายค่าเงินก็ยังแข็งขึ้นในระยะสั้น ดังนั้น
รัฐควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับตัวในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม ธปท. ได้มีการหารือกับทาง พม่า ลาว มาเลเซีย และจีน เพื่อสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ พร้อมกับเตรียมจะประสานกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ไม่มีสภาพคล่องและไม่ได้ทำธุรกรรมการเงินกับธนาคาร และปรับเปลี่ยนให้ใช้บุคคลค้ำประกันแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกในวันที่ 20-21 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการประเมินการส่งออกในตลาดต่างๆ มีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง โดยตลาดที่ลดลง เช่น จีน ลดจาก 8% เหลือ 5-6% ลาตินอเมริกาลดจาก 15% เหลือ 10% เกาหลีใต้จากบวก 5% เหลือเป็นลบ 3% ส่วนตลาดที่ทรงตัว ได้แก่ สหภาพยุโรป 0% สหรัฐฯเพิ่มขึ้น 5% อาเซียน เพิ่ม 10% และญี่ปุ่น เพิ่ม 5%
สำหรับตลาดที่เพิ่มขึ้น เช่น พม่าเพิ่มจาก 30% เป็น 45% ตลาดอินเดียจาก 5% เป็น 10% รัสเซียและซีไอเอสเพิ่มจาก 5% เป็น 12% ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15% แอฟริกาเพิ่มจาก 5% เป็น 8% ตะวันออกลางเพิ่มขึ้น 5% ฮ่องกงเพิ่มจาก 1% เป็น 5% และอื่นๆ เพิ่มขึ้น 10%
