ASTVผู้จัดการรายวัน - บสย.ผนึกคลัง-ธปท.เพิ่มมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีส่งออกทีได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็ง เตรียมเปิดวงเงินค้ำประกันสินเชื่อซื้อความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนคาดเริ่มดำเนินการได้กลางเดือนพ.ค.นี้ เผยล่าสุดช่วยเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการแล้ว1.4 หมื่นล้าน
นายวิเชษฐ วรกุลรองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เปิดเผยว่า ในช่วงที่สถานการณ์ค่าเงินบาทมีแนวโน้มทางแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องทางกระทรวงการคลัง บสย. และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการเพิ่มเติมในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่งออกที่อาจได้รับผกระทบอย่างมาก โดย บสย.จะเข้าไปค้ำประกันเงินกู้ให้เอสเอ็มอีลูกค้าที่เป็นลูกค้าธนาคารพาณิชย์สามารถนำเงินไปกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือทำฟอร์เวิสด์ได้ด้วย
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ บสย.มีโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 5 อยู่แล้ว วงเงิน 2.4 แสนล้านบาทระยะเวลา 3 ปี โดยปีนี้คาดว่าตั้งเป้าค้ำประกันได้ 8-9 หมื่นล้านบาท โดยเน้นให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทีได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตและการปรับเพิ่มค่าแรงเพื่อชะลอการจ้างงาน แต่เมื่อมีปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็งที่อาจกระทบต่อการส่งออกก็จะเพิ่มการช่วยเหลือด้านนี้เข้ามาด้วยในวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเดิม คาดว่าจะได้ข้อสรุปและเริ่มดำเนินการได้ในสัปดาห์หน้าหรือกลางดือนพ.ค.นี้
สำหรับการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 5 ล่าสุดสิ้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาหรือประมาณ 2 เดือนตั้งแค่ทำโครงการมีการอนุมัติการค้ำประกันสินเชื่อไปแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท จำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 4,200 ราย โดยขอกู้เงินเฉลี่ยรายละ 3.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยๆ อยู่แล้ว โดยมองว่าในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีนี้น่าจะมีบางส่วนที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ว่ามีมากน้อยแค่ไหนเพราะที่ผ่านมาจะเก็บข้อมูลเป็นรายอุตสาหกรรมมากกว่า
“การอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอีนั้นบสย.จะพิจารณาให้เร็วที่สุดหลังจากแบงก์พาณิชย์ยื่นลูกค้าเข้ามาให้ และการขอสินเชื่อก็ไม่ได้มีอัตราเร่งขึ้นผิดปกติแต่อย่างใด โดยหลังจากนี้น่าจะอนุมัติได้เดือนละ 7-9 พันล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ในปีนี้”นายวิเชษฐกล่าวและว่า หากรวมยอดค้ำประกันสินเชื่อรวมของบสย.ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมามีการอนุมัติวงเงินไปแล้วทั้งสิ้น 2.5 หมื่นล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไปแล้ว 7.9 พันราย
นายวิเชษฐ วรกุลรองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เปิดเผยว่า ในช่วงที่สถานการณ์ค่าเงินบาทมีแนวโน้มทางแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องทางกระทรวงการคลัง บสย. และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการเพิ่มเติมในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่งออกที่อาจได้รับผกระทบอย่างมาก โดย บสย.จะเข้าไปค้ำประกันเงินกู้ให้เอสเอ็มอีลูกค้าที่เป็นลูกค้าธนาคารพาณิชย์สามารถนำเงินไปกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือทำฟอร์เวิสด์ได้ด้วย
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ บสย.มีโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 5 อยู่แล้ว วงเงิน 2.4 แสนล้านบาทระยะเวลา 3 ปี โดยปีนี้คาดว่าตั้งเป้าค้ำประกันได้ 8-9 หมื่นล้านบาท โดยเน้นให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทีได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตและการปรับเพิ่มค่าแรงเพื่อชะลอการจ้างงาน แต่เมื่อมีปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็งที่อาจกระทบต่อการส่งออกก็จะเพิ่มการช่วยเหลือด้านนี้เข้ามาด้วยในวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเดิม คาดว่าจะได้ข้อสรุปและเริ่มดำเนินการได้ในสัปดาห์หน้าหรือกลางดือนพ.ค.นี้
สำหรับการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 5 ล่าสุดสิ้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาหรือประมาณ 2 เดือนตั้งแค่ทำโครงการมีการอนุมัติการค้ำประกันสินเชื่อไปแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท จำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 4,200 ราย โดยขอกู้เงินเฉลี่ยรายละ 3.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยๆ อยู่แล้ว โดยมองว่าในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีนี้น่าจะมีบางส่วนที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ว่ามีมากน้อยแค่ไหนเพราะที่ผ่านมาจะเก็บข้อมูลเป็นรายอุตสาหกรรมมากกว่า
“การอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอีนั้นบสย.จะพิจารณาให้เร็วที่สุดหลังจากแบงก์พาณิชย์ยื่นลูกค้าเข้ามาให้ และการขอสินเชื่อก็ไม่ได้มีอัตราเร่งขึ้นผิดปกติแต่อย่างใด โดยหลังจากนี้น่าจะอนุมัติได้เดือนละ 7-9 พันล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ในปีนี้”นายวิเชษฐกล่าวและว่า หากรวมยอดค้ำประกันสินเชื่อรวมของบสย.ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมามีการอนุมัติวงเงินไปแล้วทั้งสิ้น 2.5 หมื่นล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไปแล้ว 7.9 พันราย
