ASTVผู้จัดการรายวัน - คลังเร่งรัฐวิสาหกิจใช้หนี้สกุลต่างประเทศคืนช่วงบาทแข็ง หวังลดภาระหนี้ต่างประเทศ สั่ง รฟม.ชำระหนี้ไจก้าก่อนกำหนดกว่าหมื่นล้านบาท พร้อมประสานแบงก์ชาติไฟเขียวเร่งนำเข้าสินค้าทุนช่วยประหยัดงบประมาณลงทุน
นายประสงค์ พูนธเนศ ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรม การนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ได้เร่งดำเนินการให้รัฐวิสาหกิจที่มีการกู้เงินลงทุนจากต่างประเทศที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันหาทางชำระหนี้ก่อนกำหนด โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น องค์การรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) ที่กู้เงินเยนมาสร้างรถไฟใต้ดิน ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ภาระหนี้ดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
โดยวงเงินที่ รฟม.กู้จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ไจก้า ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทได้หารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดำเนินการคืนเงินดังกล่าวและทางธปท.ก็เห็นชอบเพื่อชำระคืนหนี้ให้แก่ไจก้าแล้ว เนื่องจากเห็นว่าหากเร่งชำระคืนหนี้สกุลเงินต่างประเทศในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะนี้จะทำให้ประหยัดงบประมาณในการขำระคืนหนี้ได้
“ขณะนี้มีเพียง รฟม.เท่านั้นที่ได้มีการชำระคืนหนี้สกุลเงินต่างประเทศก่อนกำหนดเนื่องจากเป็นเงินกู้ก้อนใหญ่ จึงถือโอกาสช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งดำเนินการ ส่วนรัฐวิสาหกิจอื่นๆ นั้น ทางสคร.ได้สำรวจแล้วว่ามีหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ได้มีการชำระเงินคืนแต่อย่างใด ปล่อยให้เป็นไปตามตารางการคืนหนี้ปกติที่รัฐวิสาหกิจทำสัญญาไว้” นายประสงค์กล่าว
นอกจากนี้ทาง สคร.ยังได้หารือร่วมกับธปท.ในประเด็นการเร่งรัดการลงทุนและนำเข้าสินค้าทุนที่มีมูลค่าสูงจากต่างประเทศในระยะนี้ แต่ต้องอยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบของทางราชการและรัฐวิสาหกิจอยู่แล้ว ซึ่งหากมีความสอดคล้องกับแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งก็สามารถดำเนินได้ทันที เพื่อเป็นการช่วยลดภาระทางด้านงบประมาณของรัฐบาลได้อีกด้านหนึ่งด้วย.
นายประสงค์ พูนธเนศ ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรม การนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ได้เร่งดำเนินการให้รัฐวิสาหกิจที่มีการกู้เงินลงทุนจากต่างประเทศที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันหาทางชำระหนี้ก่อนกำหนด โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น องค์การรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) ที่กู้เงินเยนมาสร้างรถไฟใต้ดิน ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ภาระหนี้ดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
โดยวงเงินที่ รฟม.กู้จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ไจก้า ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทได้หารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดำเนินการคืนเงินดังกล่าวและทางธปท.ก็เห็นชอบเพื่อชำระคืนหนี้ให้แก่ไจก้าแล้ว เนื่องจากเห็นว่าหากเร่งชำระคืนหนี้สกุลเงินต่างประเทศในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะนี้จะทำให้ประหยัดงบประมาณในการขำระคืนหนี้ได้
“ขณะนี้มีเพียง รฟม.เท่านั้นที่ได้มีการชำระคืนหนี้สกุลเงินต่างประเทศก่อนกำหนดเนื่องจากเป็นเงินกู้ก้อนใหญ่ จึงถือโอกาสช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งดำเนินการ ส่วนรัฐวิสาหกิจอื่นๆ นั้น ทางสคร.ได้สำรวจแล้วว่ามีหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ได้มีการชำระเงินคืนแต่อย่างใด ปล่อยให้เป็นไปตามตารางการคืนหนี้ปกติที่รัฐวิสาหกิจทำสัญญาไว้” นายประสงค์กล่าว
นอกจากนี้ทาง สคร.ยังได้หารือร่วมกับธปท.ในประเด็นการเร่งรัดการลงทุนและนำเข้าสินค้าทุนที่มีมูลค่าสูงจากต่างประเทศในระยะนี้ แต่ต้องอยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบของทางราชการและรัฐวิสาหกิจอยู่แล้ว ซึ่งหากมีความสอดคล้องกับแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งก็สามารถดำเนินได้ทันที เพื่อเป็นการช่วยลดภาระทางด้านงบประมาณของรัฐบาลได้อีกด้านหนึ่งด้วย.