ASTVผู้จัดการรายวัน - ทิปโก้เดินหน้าจับมือพันธมิตรซันโทรี่เล็งขยายกำลังการผลิตน้ำผลไม้ที่อินโดนีเซียและเวียดนาม ต่อยอดการทำตลาดในอาเซียน หวังสัดส่วนส่งออกสู่ 25-30% ส่วนไทยทุ่ม 500 ล้านบาท รุกการตลาดเต็มสูบ หวังขยายฐานเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น มั่นใจดันรายได้รวมทั้งปีโตไม่ต่ำกว่า 13% จาก 5,500 ล้านบาท
นายเอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TIPCO เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของทิปโก้ในปีนี้จะเน้นตลาดในเมืองไทยเป็นหลัก โดยได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 500 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 20-30% สำหรับทำตลาดกลุ่มน้ำผลไม้แท้ 100% โดยจะมุ่งเน้นขยายฐานลุกค้าเพิ่มมากขึ้น สร้างเข้าใจเกี่ยวกับน้ำผลไม้แท้ 100% ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพสินค้าและความแตกต่างจากแบรนด์อื่นในท้องตลาด เนื่องจากมองว่าตลาดยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ “285 ล้านลูกต่อปี ทิปโก้คั้นสด เพื่อความสดชื่นของคุณ” หวังสร้างความจริงใจในการมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ จากเกษตรกรไปสู่ผู้บริโภคทุกคน พร้อมแจกสินค้าให้ทดลองชิมอีก 1 ล้านกล่องทั่วประเทศ เชื่อว่าถึงสิ้นปีน่าจะมีการเติบโตใกล้เคียงกับภาพรวมตลาดน้ำผลไม้รวมมูลค่า12,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเติบโตราว 10-13% จากปัจจุบันกลุ่มน้ำผลไม้แท้ 100% มีมูลค่า 4,500 ล้านบาท โดยทิปโก้เป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งกว่า 43% ห่างจากอันดับสองที่ส่วนแบ่งตลาดราว 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ และอันดับสามมีส่วนแบ่งอยู่ราว 10%
ส่วนภาพรวมรายได้สิ้นปีนี้เชื่อว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 13% จากรายได้ 5,500 ล้านบาท มาจากกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ น้ำดื่ม และชา 3,100 ล้านบาท และสับปะรดกระป๋อง 2,300 ล้านบาท โดยรายได้รวมกว่า 15% มาจากการส่งออกและที่เหลือ 85% เป็นยอดขายในประเทศ
นายเอกพล กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดส่งออกน้ำผลไม้แท้ 100% นั้น ปัจจุบันมีส่งออกไปทุกประเทศในอาเซียนแล้ว รวมถึงเกาหลี ตะวันออกกลางและจีนด้วย ซึ่งกำลังการผลิตในประเทศนั้นยังสามารถรองรับได้อีก 2-3 ปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 70% ขณะที่ยอดการส่งออกกว่า 15% มาจากประเทศในอาเซียน โดยประเทศอาเซียนที่มองว่ามีศักยภาพสุงสุด คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
อย่างไรก็ตามทางบริษัทมีแผนความร่วมมือกับบริษัทซันโทรี่ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีฐานผลิตที่อินโดนีเซีย และกำลังจะเปิดฐานการผลิตเพิ่มที่เวียดนาม โดยจะเป็นความร่วมมือในด้านการขยายไลน์การผลิตน้ำผลไม้แท้ 100% ของทิปโก้ เพื่อลดการนำเข้าจากไปในการจำหน่ายในอินโดซีเซีย เวียดนาม และประเทศอื่นๆในอาเซียนต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อการทำตลาดให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายจากอาเซียนในอนาคตสู่สัดส่วนที่ 25-30% ให้ได้
นายเอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TIPCO เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของทิปโก้ในปีนี้จะเน้นตลาดในเมืองไทยเป็นหลัก โดยได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 500 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 20-30% สำหรับทำตลาดกลุ่มน้ำผลไม้แท้ 100% โดยจะมุ่งเน้นขยายฐานลุกค้าเพิ่มมากขึ้น สร้างเข้าใจเกี่ยวกับน้ำผลไม้แท้ 100% ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพสินค้าและความแตกต่างจากแบรนด์อื่นในท้องตลาด เนื่องจากมองว่าตลาดยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ “285 ล้านลูกต่อปี ทิปโก้คั้นสด เพื่อความสดชื่นของคุณ” หวังสร้างความจริงใจในการมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ จากเกษตรกรไปสู่ผู้บริโภคทุกคน พร้อมแจกสินค้าให้ทดลองชิมอีก 1 ล้านกล่องทั่วประเทศ เชื่อว่าถึงสิ้นปีน่าจะมีการเติบโตใกล้เคียงกับภาพรวมตลาดน้ำผลไม้รวมมูลค่า12,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเติบโตราว 10-13% จากปัจจุบันกลุ่มน้ำผลไม้แท้ 100% มีมูลค่า 4,500 ล้านบาท โดยทิปโก้เป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งกว่า 43% ห่างจากอันดับสองที่ส่วนแบ่งตลาดราว 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ และอันดับสามมีส่วนแบ่งอยู่ราว 10%
ส่วนภาพรวมรายได้สิ้นปีนี้เชื่อว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 13% จากรายได้ 5,500 ล้านบาท มาจากกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ น้ำดื่ม และชา 3,100 ล้านบาท และสับปะรดกระป๋อง 2,300 ล้านบาท โดยรายได้รวมกว่า 15% มาจากการส่งออกและที่เหลือ 85% เป็นยอดขายในประเทศ
นายเอกพล กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดส่งออกน้ำผลไม้แท้ 100% นั้น ปัจจุบันมีส่งออกไปทุกประเทศในอาเซียนแล้ว รวมถึงเกาหลี ตะวันออกกลางและจีนด้วย ซึ่งกำลังการผลิตในประเทศนั้นยังสามารถรองรับได้อีก 2-3 ปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 70% ขณะที่ยอดการส่งออกกว่า 15% มาจากประเทศในอาเซียน โดยประเทศอาเซียนที่มองว่ามีศักยภาพสุงสุด คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
อย่างไรก็ตามทางบริษัทมีแผนความร่วมมือกับบริษัทซันโทรี่ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีฐานผลิตที่อินโดนีเซีย และกำลังจะเปิดฐานการผลิตเพิ่มที่เวียดนาม โดยจะเป็นความร่วมมือในด้านการขยายไลน์การผลิตน้ำผลไม้แท้ 100% ของทิปโก้ เพื่อลดการนำเข้าจากไปในการจำหน่ายในอินโดซีเซีย เวียดนาม และประเทศอื่นๆในอาเซียนต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อการทำตลาดให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายจากอาเซียนในอนาคตสู่สัดส่วนที่ 25-30% ให้ได้