ASTV ผู้จัดการรายวัน - สิ้นไตรมาส 1 หุ้นไทยปิดบวก 1,561.06 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 12.15% วอลุ่มเทรด เฉลี่ยต่อวัน 6.4 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งจากการแข็งตัวของค่าเงินบาท ทำให้นักลงต่างชาติทุนเทเงินไหลเข้าประเทศ ส่วนปัจจัยผันผวนส่งผลกระทบเป็นเพียงระยะสั้น มองตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวตั้งแต่ไตรมาสที่2ยังน่าลงทุน ล่าสุดหุ้นปิดบวก13จุด
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานสรุปซื้อขายหลักทรัพย์ไตรมาส 1 / 56 ว่า ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,561.06 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 12.15% จากสิ้นปี 55 ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ที่ 13,286.912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.30% และตลาด mai อยู่ที่ 188,428 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.66% จากสิ้นปี 55 โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 64,258 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.61% จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน
ส่วน เดือนมีนาคม 2556 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 72,814 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติ สูงสุดนับตั้งแต่ตลาดเริ่มเปิดซื้อขาย โดยในวันที่ 22 มีนาคม 2556 ทำสถิติมูลค่าซื้อขายสูงสุด อยู่ที่ 105,569 ล้านบาท
โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากการที่ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญในไตรมาส 1/56 ของสหรัฐฯ จีนและญี่ปุ่น เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้น เช่นในกรณีการว่างงานในสหรัฐฯที่มีแนวโน้มดีขึ้น สวนทางกับฝั่งยุโรป นอกจากนี้ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ยกเว้นตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ โดยตลาดหลักทรัพย์ไทยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 124 ล้านเหรียญ สหรัฐ โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม 2556 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 208 ล้านเหรียญสหรัฐ
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรณ์และการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าจากต้นปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะในเรื่องของผลตอบแทนในตลาดหุ้นและการแข็งตัวของค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่าผลกระทบส่วนใหญ่ มาจากการที่มีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับจำนวนนักลงทุนต่างชาติ ส่วนในด้านค่าเงินบาทที่มีการแข็งตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา อาจกระทบตลาดทุนในอนาคต โดยการที่ค่าของเงินแข็งขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงทั่วโลกที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ค่อนข้างเร็วและมีความน่าลงทุน
"ถ้าดูที่ตลาดหุ้นไทยไม่ใช่ตลาดเดียวที่มีผลตอบแทนที่สูงขึ้น ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก แม้แต่เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ก็มีการปรับตัวสูงขึ้นตามประเทศที่มีเศรษฐกิจดีเช่นประเทศญี่ปุ่น ที่การปรับตัวของดัชนีสูงขึ้นมากในปีที่ผ่านมา ในอนาคตถ้าดูจากโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย หนี้สาธารณะ สภาพคล่องของตลาด การค้าระหว่างประเทศ และนโยบายการเงินการคลัง ที่มีต่อกลุ่มคู่ค้าในประเทศที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความน่าสนใจในการลงทุนของบริษัทต่างๆที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวตั้งแต่ไตรมาสที่2เป็นต้นไปจะยังมีความน่าสนใจอยู่มาก"
**หุ้นไทยปิดบวก13จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (22เม.ย.) ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,559.10 จุด เพิ่มขึ้น 13.64 จุด หรือ 0.88% มูลค่าการซื้อขาย 61,347 ล้านบาท นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวแดนบวกตลอดทั้งวัน แม้มีแรงเทขายทำกไร จากกระแสข่าวในห้องค้าว่า CPALL สนใจจะซื้อกิจการ MAKRO ทำให้อาจต้องเพิ่มทุน โดยแรงหนุนหลักเป็นแรงซื้อของนักลงทุนที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นที่เติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่วนทิศทางวันนี้ (23เม.ย.) ดัชนี คงจะผันผวนบ้างหลังปรับขึ้นมาหลายวัน แต่น่าจะแกว่งตัวขึ้นไปต่อในลักษณะ sideway up เพราะปัจจัยต่างประเทศเริ่มคลี่คลาย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานสรุปซื้อขายหลักทรัพย์ไตรมาส 1 / 56 ว่า ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,561.06 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 12.15% จากสิ้นปี 55 ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ที่ 13,286.912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.30% และตลาด mai อยู่ที่ 188,428 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.66% จากสิ้นปี 55 โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 64,258 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.61% จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน
ส่วน เดือนมีนาคม 2556 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 72,814 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติ สูงสุดนับตั้งแต่ตลาดเริ่มเปิดซื้อขาย โดยในวันที่ 22 มีนาคม 2556 ทำสถิติมูลค่าซื้อขายสูงสุด อยู่ที่ 105,569 ล้านบาท
โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากการที่ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญในไตรมาส 1/56 ของสหรัฐฯ จีนและญี่ปุ่น เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้น เช่นในกรณีการว่างงานในสหรัฐฯที่มีแนวโน้มดีขึ้น สวนทางกับฝั่งยุโรป นอกจากนี้ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ยกเว้นตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ โดยตลาดหลักทรัพย์ไทยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 124 ล้านเหรียญ สหรัฐ โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม 2556 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 208 ล้านเหรียญสหรัฐ
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรณ์และการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าจากต้นปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะในเรื่องของผลตอบแทนในตลาดหุ้นและการแข็งตัวของค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่าผลกระทบส่วนใหญ่ มาจากการที่มีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับจำนวนนักลงทุนต่างชาติ ส่วนในด้านค่าเงินบาทที่มีการแข็งตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา อาจกระทบตลาดทุนในอนาคต โดยการที่ค่าของเงินแข็งขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงทั่วโลกที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ค่อนข้างเร็วและมีความน่าลงทุน
"ถ้าดูที่ตลาดหุ้นไทยไม่ใช่ตลาดเดียวที่มีผลตอบแทนที่สูงขึ้น ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก แม้แต่เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ก็มีการปรับตัวสูงขึ้นตามประเทศที่มีเศรษฐกิจดีเช่นประเทศญี่ปุ่น ที่การปรับตัวของดัชนีสูงขึ้นมากในปีที่ผ่านมา ในอนาคตถ้าดูจากโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย หนี้สาธารณะ สภาพคล่องของตลาด การค้าระหว่างประเทศ และนโยบายการเงินการคลัง ที่มีต่อกลุ่มคู่ค้าในประเทศที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความน่าสนใจในการลงทุนของบริษัทต่างๆที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวตั้งแต่ไตรมาสที่2เป็นต้นไปจะยังมีความน่าสนใจอยู่มาก"
**หุ้นไทยปิดบวก13จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (22เม.ย.) ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,559.10 จุด เพิ่มขึ้น 13.64 จุด หรือ 0.88% มูลค่าการซื้อขาย 61,347 ล้านบาท นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวแดนบวกตลอดทั้งวัน แม้มีแรงเทขายทำกไร จากกระแสข่าวในห้องค้าว่า CPALL สนใจจะซื้อกิจการ MAKRO ทำให้อาจต้องเพิ่มทุน โดยแรงหนุนหลักเป็นแรงซื้อของนักลงทุนที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นที่เติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่วนทิศทางวันนี้ (23เม.ย.) ดัชนี คงจะผันผวนบ้างหลังปรับขึ้นมาหลายวัน แต่น่าจะแกว่งตัวขึ้นไปต่อในลักษณะ sideway up เพราะปัจจัยต่างประเทศเริ่มคลี่คลาย