xs
xsm
sm
md
lg

วัดใจ“แม้ว”เลือดเข้าตา ฝ่าทางตันเสี่ยง"กลียุค"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**สะดุ้งเฮือกกันทั้งสภา ทั้งส.ว. และ ส.ส. ที่กำลังขับเคลื่อนกระบวนการชำแหละรัฐธรรมนูญฉบับ “หน้าแหลมฟันดำ” ในยุทธวิธีฉีกทีละมาตรา เพื่อเปิดทางการโละทั้งฉบับให้ง่ายขึ้น
หลังบ่ายแก่ๆ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมเพื่อพิจารณาคำร้องที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ใช้สิทธิ์ตาม มาตรา 68 เพื่อให้ยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของรัฐสภา เพราะเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชน
ปรากฎว่า ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 3 ต่อ 2 รับคำร้องกรณีที่ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบมาตรา 68 วรรคสอง และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ข้อ 17 (2) ศาลรัฐธรรมนูญ จึงให้รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
แต่กรณีการขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินนั้น องค์คณะตุลาการฯเห็นว่า ยังไม่ปรากฏมูลกรณีอันเป็นเหตุฉุกเฉิน หรือเหตุผลอันสมควรเพียงพอที่จะต้องใช้มาตรการคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญจึงให้ยกคำร้อง
ทำให้การพิจารณาในสภา สามารถดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ให้ “ผู้ร้อง – ผู้ถูกร้อง” ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน
**ตามบทวิเคราะห์คอการเมือง การรับคำร้องวินิจฉัยครั้งนี้ เหมือนเป็นคำตอบว่า “ห้ามแตะ”
คำวินิจฉัยดังกล่าว ทำเอาพลพรรคเพื่อไทย และ“นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ลุ้นอยู่หน้าจอที่นครดูไบ ถึงกับช็อก!!! ไม่คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องดังกล่าว
เรียกว่า ผิดคาดขนานใหญ่ เนื่องจากการก้าวย่างชำแหละรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราในครั้งนี้ ถือเป็นวิธีที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่า ปลอดภัยที่สุด เพราะถือเป็นการทำตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อครั้งวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2555 ที่ผ่านมา
ฉะนั้นจึงอ้างได้ว่า เป็นการทำตามคำแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญทุกกระเบียดนิ้ว การที่ศาลฯ จะมากลืนน้ำลายตัวเอง กลับคำวินิจฉัยนั้น จึงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้
ด้านพลกำลังในสภา นอกจากเสียงส.ส.ของเครือข่ายนายห้าง ที่พอจะหอบหิ้วให้ผ่านแต่ละวาระไปได้แล้ว จำนวนเสียง ส.ว.เลือกตั้ง ที่อยู่ในองคาพยพในการร่วมสังฆกรรมครั้งนี้ ก็ทำให้คะแนนท่วมท้น ชอบธรรมได้
เช่นเดียวกับการแก้ไข มาตรา 237, 190, 68 และที่มาของส.ว. ก็เป็นมาตราที่ไม่น่าจะมีแรงเสียดทานมากนัก เพราะมาตราที่พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม 40 ส.ว. ระแวงคือ มาตรา 309 รวมถึงการแก้ไขแบบรายมาตรา นี้ก็ถือเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะเมื่อเหลือบหันไปมองข้างหลังในทางเลือกอื่น แทบจะมืดสนิท
**การชำแหละกันแบบนี้ถือว่า พลพรรคนายใหญ่ มั่นใจเกินร้อยว่าทำได้แน่ !
แต่กระนั้น ฝ่ายรัฐบาลก็ประเมินพลาด เมื่อแนวร่วมต้านจับทางได้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 คือ กุญแจดอกแรกที่จะไขประตู เพื่อไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 ที่ค้างเติ่งเป็นอัมพาตอยู่ในการพิจารณาของสภา ในวาระ 3 กลับมาทำได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงกับคมดาบของศาลรัฐธรรมนูญ
เพราะหากแก้ไขได้สำเร็จ ต่อไปการจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการกระทำต่างๆของรัฐบาล และรัฐสภา จะต้องผ่านมืออัยการสูงสุดก่อนจะไปถึงปลายน้ำ อย่างศาลรัฐธรรมนูญ
ถือเป็นการตัดความหวาดเสียวที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลได้มากโข และทำให้รัฐบาล-รัฐสภา สามารถทำอะไรได้คล่องตัวมากขึ้นโดยไม่ต้องหวาดระแวงกล้าๆ กลัวๆ อย่างที่ผ่านมา
ฝ่ายต้านจับทางได้ และรู้ช่องว่า หากปล่อยให้ชำแหละ ผลที่จะตามมาคืออะไร และการต่อสู้จะต้องใช้แนวทางไหน
นายสมชาย ก็เลือกเหตุผลการริดลอนสิทธิเสรีภาพประชาชนมาเป็นข้อต่อสู้ เพราะในเมื่อรัฐบาลอ้างว่าทำเพื่อประชาชน ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จึงเท่ากับ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน เรียกว่าสวนทางกันแบบชัดเจน
และเมื่อผลที่ประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมารูปนี้ แน่นอนว่า รัฐบาลและองคาพยพ ต้องกุมขมับกันอีกรอบ
โดยเฉพาะบรรดา ส.ว.ที่เข้าร่วมสังฆกรรมครั้งนี้ เพื่อต้องการสังคายนาที่มาของส.ว.ใหม่ และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ที่ย่อมกลัดกลุ้ม เริ่มเสียวกับท่าทีของศาลรัฐธรรมนูญ การจะเดินหน้าฝ่าบุกต่อจึงทำให้ต้องฉุกคิด และระแวงกับความปลอดภัยของตัวเอง ถนนไม่เรียบเหมือนที่คาดการณ์
ย่างก้าวของพรรคเพื่อไทยต่อจากนี้ จึงต้องจับตาห้ามกระพริบ เพราะต้องไม่ลืมว่า พรรคเพื่อไทยหมดทางเลือกในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่ค้างเติ่งอยู่ในสภา วาระ 3 หากแก้ไขมาตรา 68 ไม่ได้ การจะไปแตะต้องย่อมไม่ใช่วิถีคนฉลาด
**แน่นอนว่า ไม่มีใครยอมเสี่ยงยกมือให้ เพื่อเดิมพันกับตำแหน่งตัวเองในสภาผู้ทรงเกียรติแน่ๆ
ขณะที่การทำประชามติ ที่ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาของสถาบันศึกษาที่รัฐบาลมอบหมายให้ช่วย ตั้งแต่ต้นปี ก็ดูเหมือนรัฐบาลเองก็ไม่อยากจะเลือกใช้ เพราะมีเงื่อนไขที่ฝ่าได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงก่อน จากนั้นจึงจะไปใช้เสียงกึ่งหนึ่งของผู้มาลงประชามติ
วิธีนี้พรรคประชาธิปัตย์มองเห็น และดักทางเอาไว้แล้ว ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ก็รู้ว่า หากเลือกแล้วพลาด ล่มตั้งแต่สเต็ปแรก คือ มีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะหมดไปทันที
เพราะถือว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การจะแก้อื่นๆ นั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะ ไม่ควร อย่างยิ่ง
การแก้ไขแบบรายมาตราจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพียงแต่เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วว่า ทำได้ แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังจะแก้ไขด้วยแฝงเจตนาไม่ดี ผลที่ออกมาจึงเป็นอย่างนี้
นาทีนี้คนที่เวียนหัว มึนตึ๊บมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “นายห้างดูไบ” ที่คงอัดอั้น และอาจมีคำถามในใจขึ้นมาแล้วว่า ตกลงจะให้แก้รัฐธรรมนูญกันด้วยวิธีไหนกันแน่
น่าสนใจ และน่าติดตามเป็นอย่างมาก ในเมื่อสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย และ“นายใหญ่” อยู่ในภาวะเลือดเข้าตา
จนมุมในสถานะ “เดินหน้าก็เสี่ยง เลี่ยงถอยก็ตีบตัน”
ถึงคิววัดใจ “ทักษิณ” กันแล้ว หากเลือกลุยฝ่า ทั้งๆที่มีสัญญาณชัดเจนจากกรณีศาลรับคำร้องในมาตรา 68 ครั้งนี้ เสมือนหนึ่งชูป้ายห้ามเข้า จะกล้าเดินสวนท้าความเสี่ยงกันหรือไม่
**หากกล้าตามสไตล์สู้หมดหน้าตัก ชนิดล้มกระดานกันเที่ยวนี้ กลียุคมีสิทธิ์เกิดขึ้นในเร็ววัน
กำลังโหลดความคิดเห็น