ASTV ผู้จัดการรายวัน - ศาลจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสน แนวร่วมเสื้อแดง จำหน่ายซีดีชุมนุมแดงสยาม ปี 2554 พร้อมเผยแพร่บทความวิกิลีกภาษาอังกฤษ หมิ่นรัชทายาท แต่คำให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือคุก 3 ปี 4 เดือน ปรับ 6.6 หมื่น โดยไม่รอลงอาญา ด้าน กรมคุ้มครองสิทธิคลอดเงิน"ค่าตกใจ"ล็อตแรก เยียวยา แดงเผาศาลากลาง10 รายๆ ละกว่า 8 แสน ด้านทบ.จ้างเอแบคโพลล์ล้างภาพ“เสื้อแดง” ไม่จงรักภักดี เผยแดง 59.7% เหนียวแน่นสถาบัน รับยังมีพวกจ้องล้มสถาบัน ฉวยโอกาสสวมรอย แนะปรับข่าวพระราชสำนัก เน้นพระราชกรณียกิจบรรเทาทุกข์ประชาชน แนะอย่าดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง
วานนี้ (28 มี.ค.)ที่ห้องพิจารณา 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายเอกชัย หงส์กังวาน แนวร่วมเสื้อแดง และพ่อค้าซีดี อายุ 37 ปี พักอยู่เลขที่ 1530 ซ.ลาดพร้าว 109 แขวงคลองจั่น เขต บางกะปิ กทม. เป็นจำเลย ในความผิดฐาน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระราชินี รัชทายาท ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551
โดยอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 พ.ค.2554 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2554 เวลากลางคืน จำเลย ประกอบธุรกิจจำหน่ายแผ่นซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งจำเลยได้จำหน่ายแผ่นซีดี ที่เผยแพร่ ภาพและเสียง ข้อความประกอบภาพและภาพเคลื่อนไหวให้ปรากฏกับสายตาบุคคลทั่วไป และมีเอกสารประกอบที่เป็นบทความ ภาษาอังกฤษของ Wikileaks ที่จำเลยคัดลอกมาจากเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น องค์รัชทายาท เหตุเกิดที่ อนุสาวรีย์ทหารอาสา แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม. จำเลยให้การรับสารภาพคดีนี้โจทก์นำสืบ ระบุว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2554 เวลา 17.00 น. ได้มีการชุมนุมของกลุ่มแดงสยาม ซึ่ง พ.ต.ท.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แฝงตัวเข้าล่อซื้อแผ่นซีดี 1 แผ่น จึงจับกุมจำเลยพร้อมขยายผลไปตรวจค้นเจอของกลางเป็นแผ่นซีดีเนื้อหาหมิ่น เบื้องสูงอีก 141 แผ่น และซีดีเปล่า 120 แผ่น พร้อมเครื่องไรท์ซีดี เอกสาร Wikileaks อีก 26 ฉบับ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้ว เห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.ภาพยนตร์ ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง และ 82 ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
จึงพิพากษาให้จำคุก 5 ปี ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น รัชทายาท ตาม มาตรา 112 และให้ปรับ 100,000 บาท ฐานประกอบธุรกิจ จำหน่ายแผ่นวีดิทัศน์ (ซีดี) โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำ คุกจำเลยฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น รัชทายาท ฯ เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน และปรับ 66,666.66 บาท ฐานประกอบธุรกิจจำหน่ายแผ่นวีดิ ทัศน์ (ซีดี) โดยไม่ได้รับอนุญาต
*** ทัพบกล้างภาพแดงไม่จงรักภักดี
ที่กองบัญชาการกองทัพบก ทางศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบคโพลล์ได้นำเสนองานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ เรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยสำรวจชุมชนเป้าหมายเพื่อความมั่นคงจำนวนทั้งสิ้น 70 ชุมชน ใน 7 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สงขลา แล กรุงเทพมหานคร โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปจำนวน 4,542 ราย ระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน2555 พบว่า จากกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 59.7 เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของชาติ และ ความดีงามของสถาบันศาสนา ขณะที่ร้อยละ32.7 เห็นว่าผลประโยชน์ และ ความอยู่รอดของตัวเอง และ ที่เหลือเห็นว่า ความเจริญของชุมชนที่ตนเองพักอาศัย และความเจริญรุ่งเรือของพรรคการเมืองที่ตนเองชื่นชอบ
ผลวิจัย ส่วนหนึ่งเห็นว่า แนวทางส่งเสริมให้แสดงออกถึงความจงรักภักดี สามารถทำได้ โดย ติดพระบรมฉายาลักษณ์ที่บ้าน ใส่สายรัดข้อมือ ติดธงชาติ ตราสัญลักษณ์ยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์ การแสดงความเคารพเมื่อได้ยินเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี การเข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษา สร้างความตระหนักว่าคนไทยจะลำบากและเดือดร้อน มากกว่าปัจจุบันนี้ถ้าประชาชนคนไทยไม่เป็นหนึ่งเดียวกันเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ ผลวิจัยยังพบว่า มีการรับรู้ถึงขบวนการไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมเสนอว่าอย่าดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน และ เฝ้าระวังติดตามรู้เท่าทันข้อมูลขบวนการจ้องล้มสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่า กองทัพบกได้มอบหมายให้ทำวิจัยในประเด็นดังกล่าว โดยสำนักวิจัยได้จัดทำข้อมูลโดยการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในกลุ่มตัวอย่างจากหมู่บ้านเสื้อแดง ทั้งนี้ กองทัพบกต้องการพิสูจน์สมมุติฐานว่าข้อเท็จจริงในเรื่องความไม่จงรักภักดีของกลุ่มดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งผลออกมาตรงข้ามกับสมมุติฐาน เนื่องจาก กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเสื้อแดง มีความจงรักภักดี และมีความเหนียวแน่นกับสถาบันมากกว่าคนบางกลุ่มเสียอีก และ เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้ง จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า มีกลุ่มที่จ้องล้มสถาบันจริง แต่เป็นพวกฉวยโอกาส และ สวมรอย เพื่อหวังผลบางอย่าง
“กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าข่าวพระราชสำนักควรจะมีการปรับรูปแบบ และ เนื้อหานำเสนอ โดยเห็นว่าควรมุ่งเน้นที่พระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับการบรรเทาทุกข์ของประชาชน การทรงงานช่วยเหลือประชาชน งานด้านการศึกษา สาธารณสุข และสังคมเป็นหลัก ส่วนแนวทางปฏิบัติเพื่อปกป้องสถาบันนั้น ฯ ประชาชนต้องแสดงออกด้วยวิธีการต่างๆ อย่างชัดเจนนอกบ้าน ไม่ใช่แค่ทำกันเพียงที่บ้าน รัฐบาล กองทัพ ภาคประชาชนต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ประชาชนต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือเรื่องการเมือง และ เรื่องสถาบัน อย่าดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจดังกล่าวทางนิด้าได้ทำมาหลายครั้ง ซึ่งไม่ใช่แค่ในส่วนที่กองทัพบกขอให้เราศึกษา ซึ่งผลออกมาก็ตรงกันทุกครั้ง”นายนพดลกล่าว
อีกด้าน ที่กระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยถึงผลการประชุม คณะทำงานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม สำหรับผู้ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองช่วงปี 2548- 2553 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกเพื่อพิจารณามอบเงินเยียวยากับผู้ถูกดำเนินคดีหรือถูกคุมขัง ซึ่งขณะนี้มีผู้ยื่นคำร้องแล้ว 102 คน จากทั้งหมด 368 ราย ในวันนี้มีการเสนอสำนวนคำขอที่มีเอกสารหลักฐานครบถ้วนเข้าสู่ที่ประชุมเพียง 23 ราย ประกอบด้วย กรณี
ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง 10 ราย เหตุเกิดในพื้นที่จ.มุกดาหาร และกรณีศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกแต่ขังเกินจำนวน 13 ราย เหตุเกิดในพื้นที่จ.อุดรธานี โดยที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นสมควรจ่ายเงินเยียวยาให้กับกลุ่มที่ศาลยกฟ้องจำนวน 10 รายในพื้นที่จ .มุกดาหาร เป็นเงินรวม 8,151,024 บาท โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นเงินเยียวยากรณีถูกคุมขังวันละ 411 บาท ตามจำนวนวันที่ถูกคุมขัง
นอกจากนี้ยังมีเงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจ ซึ่งกรณีดังกล่าวศาลมีคำสั่งยกฟ้องมีหลักเกณฑ์การเยียวยาด้านจิตใจคือ หากถูก คุมขังเป็นเวลา 90 วัน แต่ไม่เกิน 180 วัน ให้ได้รับเงินเยียวยา 750,000 บาท ถูกคุมขังมากกว่า 180 วันขึ้นไป จะได้รับเงินเยียวยา 1,500,000 บาท
พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวต่อว่า ในส่วนผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกแต่ขังเกินกำหนดโทษจริงจำนวน 13 ราย ที่ เสนอขอรับค่าเยียวยาในวันนี้ได้ขอชะลอเรื่องไปก่อน เนื่องจากยังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอต่อการพิจารณา อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงิน เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบครั้งนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยการจ่ายเงินเยียยามีเงื่อนไขสำคัญคือต้องเป็นผู้ที่ถูกคุมขัง ดำเนินคดีในช่วงเหตุการณ์ทางการเมือง 7 เหตุการณ์
วานนี้ (28 มี.ค.)ที่ห้องพิจารณา 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายเอกชัย หงส์กังวาน แนวร่วมเสื้อแดง และพ่อค้าซีดี อายุ 37 ปี พักอยู่เลขที่ 1530 ซ.ลาดพร้าว 109 แขวงคลองจั่น เขต บางกะปิ กทม. เป็นจำเลย ในความผิดฐาน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระราชินี รัชทายาท ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551
โดยอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 พ.ค.2554 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2554 เวลากลางคืน จำเลย ประกอบธุรกิจจำหน่ายแผ่นซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งจำเลยได้จำหน่ายแผ่นซีดี ที่เผยแพร่ ภาพและเสียง ข้อความประกอบภาพและภาพเคลื่อนไหวให้ปรากฏกับสายตาบุคคลทั่วไป และมีเอกสารประกอบที่เป็นบทความ ภาษาอังกฤษของ Wikileaks ที่จำเลยคัดลอกมาจากเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น องค์รัชทายาท เหตุเกิดที่ อนุสาวรีย์ทหารอาสา แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม. จำเลยให้การรับสารภาพคดีนี้โจทก์นำสืบ ระบุว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2554 เวลา 17.00 น. ได้มีการชุมนุมของกลุ่มแดงสยาม ซึ่ง พ.ต.ท.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แฝงตัวเข้าล่อซื้อแผ่นซีดี 1 แผ่น จึงจับกุมจำเลยพร้อมขยายผลไปตรวจค้นเจอของกลางเป็นแผ่นซีดีเนื้อหาหมิ่น เบื้องสูงอีก 141 แผ่น และซีดีเปล่า 120 แผ่น พร้อมเครื่องไรท์ซีดี เอกสาร Wikileaks อีก 26 ฉบับ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้ว เห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.ภาพยนตร์ ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง และ 82 ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
จึงพิพากษาให้จำคุก 5 ปี ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น รัชทายาท ตาม มาตรา 112 และให้ปรับ 100,000 บาท ฐานประกอบธุรกิจ จำหน่ายแผ่นวีดิทัศน์ (ซีดี) โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำ คุกจำเลยฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น รัชทายาท ฯ เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน และปรับ 66,666.66 บาท ฐานประกอบธุรกิจจำหน่ายแผ่นวีดิ ทัศน์ (ซีดี) โดยไม่ได้รับอนุญาต
*** ทัพบกล้างภาพแดงไม่จงรักภักดี
ที่กองบัญชาการกองทัพบก ทางศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบคโพลล์ได้นำเสนองานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ เรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยสำรวจชุมชนเป้าหมายเพื่อความมั่นคงจำนวนทั้งสิ้น 70 ชุมชน ใน 7 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สงขลา แล กรุงเทพมหานคร โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปจำนวน 4,542 ราย ระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน2555 พบว่า จากกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 59.7 เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของชาติ และ ความดีงามของสถาบันศาสนา ขณะที่ร้อยละ32.7 เห็นว่าผลประโยชน์ และ ความอยู่รอดของตัวเอง และ ที่เหลือเห็นว่า ความเจริญของชุมชนที่ตนเองพักอาศัย และความเจริญรุ่งเรือของพรรคการเมืองที่ตนเองชื่นชอบ
ผลวิจัย ส่วนหนึ่งเห็นว่า แนวทางส่งเสริมให้แสดงออกถึงความจงรักภักดี สามารถทำได้ โดย ติดพระบรมฉายาลักษณ์ที่บ้าน ใส่สายรัดข้อมือ ติดธงชาติ ตราสัญลักษณ์ยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์ การแสดงความเคารพเมื่อได้ยินเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี การเข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษา สร้างความตระหนักว่าคนไทยจะลำบากและเดือดร้อน มากกว่าปัจจุบันนี้ถ้าประชาชนคนไทยไม่เป็นหนึ่งเดียวกันเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ ผลวิจัยยังพบว่า มีการรับรู้ถึงขบวนการไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมเสนอว่าอย่าดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน และ เฝ้าระวังติดตามรู้เท่าทันข้อมูลขบวนการจ้องล้มสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่า กองทัพบกได้มอบหมายให้ทำวิจัยในประเด็นดังกล่าว โดยสำนักวิจัยได้จัดทำข้อมูลโดยการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในกลุ่มตัวอย่างจากหมู่บ้านเสื้อแดง ทั้งนี้ กองทัพบกต้องการพิสูจน์สมมุติฐานว่าข้อเท็จจริงในเรื่องความไม่จงรักภักดีของกลุ่มดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งผลออกมาตรงข้ามกับสมมุติฐาน เนื่องจาก กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเสื้อแดง มีความจงรักภักดี และมีความเหนียวแน่นกับสถาบันมากกว่าคนบางกลุ่มเสียอีก และ เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้ง จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า มีกลุ่มที่จ้องล้มสถาบันจริง แต่เป็นพวกฉวยโอกาส และ สวมรอย เพื่อหวังผลบางอย่าง
“กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าข่าวพระราชสำนักควรจะมีการปรับรูปแบบ และ เนื้อหานำเสนอ โดยเห็นว่าควรมุ่งเน้นที่พระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับการบรรเทาทุกข์ของประชาชน การทรงงานช่วยเหลือประชาชน งานด้านการศึกษา สาธารณสุข และสังคมเป็นหลัก ส่วนแนวทางปฏิบัติเพื่อปกป้องสถาบันนั้น ฯ ประชาชนต้องแสดงออกด้วยวิธีการต่างๆ อย่างชัดเจนนอกบ้าน ไม่ใช่แค่ทำกันเพียงที่บ้าน รัฐบาล กองทัพ ภาคประชาชนต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ประชาชนต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือเรื่องการเมือง และ เรื่องสถาบัน อย่าดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจดังกล่าวทางนิด้าได้ทำมาหลายครั้ง ซึ่งไม่ใช่แค่ในส่วนที่กองทัพบกขอให้เราศึกษา ซึ่งผลออกมาก็ตรงกันทุกครั้ง”นายนพดลกล่าว
อีกด้าน ที่กระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยถึงผลการประชุม คณะทำงานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม สำหรับผู้ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองช่วงปี 2548- 2553 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกเพื่อพิจารณามอบเงินเยียวยากับผู้ถูกดำเนินคดีหรือถูกคุมขัง ซึ่งขณะนี้มีผู้ยื่นคำร้องแล้ว 102 คน จากทั้งหมด 368 ราย ในวันนี้มีการเสนอสำนวนคำขอที่มีเอกสารหลักฐานครบถ้วนเข้าสู่ที่ประชุมเพียง 23 ราย ประกอบด้วย กรณี
ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง 10 ราย เหตุเกิดในพื้นที่จ.มุกดาหาร และกรณีศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกแต่ขังเกินจำนวน 13 ราย เหตุเกิดในพื้นที่จ.อุดรธานี โดยที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นสมควรจ่ายเงินเยียวยาให้กับกลุ่มที่ศาลยกฟ้องจำนวน 10 รายในพื้นที่จ .มุกดาหาร เป็นเงินรวม 8,151,024 บาท โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นเงินเยียวยากรณีถูกคุมขังวันละ 411 บาท ตามจำนวนวันที่ถูกคุมขัง
นอกจากนี้ยังมีเงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจ ซึ่งกรณีดังกล่าวศาลมีคำสั่งยกฟ้องมีหลักเกณฑ์การเยียวยาด้านจิตใจคือ หากถูก คุมขังเป็นเวลา 90 วัน แต่ไม่เกิน 180 วัน ให้ได้รับเงินเยียวยา 750,000 บาท ถูกคุมขังมากกว่า 180 วันขึ้นไป จะได้รับเงินเยียวยา 1,500,000 บาท
พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวต่อว่า ในส่วนผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกแต่ขังเกินกำหนดโทษจริงจำนวน 13 ราย ที่ เสนอขอรับค่าเยียวยาในวันนี้ได้ขอชะลอเรื่องไปก่อน เนื่องจากยังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอต่อการพิจารณา อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงิน เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบครั้งนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยการจ่ายเงินเยียยามีเงื่อนไขสำคัญคือต้องเป็นผู้ที่ถูกคุมขัง ดำเนินคดีในช่วงเหตุการณ์ทางการเมือง 7 เหตุการณ์