xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยพ.ร.บ. กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ​

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ สิริรัตนจิตต์

โดย...อภินันท์ สิริรัตนจิตต์
คณะศิลปศาสตร์และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

ภาวการณ์ทางการเงินและการคลังของประเทศ อยู่ในภาวะสั่นคลอนจนไร้เสถียรภาพอย่างนั้นหรือ จึงจำต้องกู้เงินจำนวนมหาศาลและมโหฬาร มาเพื่อสร้างหนี้ให้กับประชาชนในชาติ ให้เป็นผู้จะต้องร่วมใช้หนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่เป็นคำถามที่ค้างคาใจของนักเศรษฐศาสตร์

แม้นายกรัฐมนตรีจะมีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ส่วนตัวตามที่เป็นข่าว เพื่อยืนยันการลงทุนโครงสร้าง 2 ล้านล้านบาท ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค ทั้งประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน โดยทางรัฐบาลมีแนวคิดพัฒนาเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และจะเป็นการเชื่อมโยงแนวคิดภายใต้กรอบคอนเนกทิวิตี้ (Connectivity) กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์เชื่อมต่ออาเซียนและประชากรกว่า 600 ล้านคน รวมทั้งการเดินสายของรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่พยายามอธิบายและทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติ

ผู้เขียน มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการบริหารโครงการและภาวการณ์ละลายเงินของภาคนโยบายการเมือง ส่วนใหญ่จะลงทุนในโครงการอันเป็นวัตถุนิยม เช่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคหรือโครงสร้างพื้นฐาน และแม้แต่โครงการแทบเล็ต เพื่อการศึกษา เป็นต้น ซึ่งเป็นโครงการสร้างวัตถุและสัมพันธ์ด้วยการเงินมหาศาล มีความสุ่มเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชันสูง ตามเสียงกระทบกระเทียบว่า ทุกโครงการจะมีรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 จากยอดอนุมัติต่อผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ แต่เมื่อมองกลับมายังโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น คุณภาพการศึกษาที่ไม่ใช่การสร้างวัตถุ แต่เป็นกระบวนการสร้างคน หรือสวัสดิการด้านสุขภาพชั้นดีต่อพลเมืองของชาติ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า โครงการที่จะพัฒนาคุณภาพและดูแลชีวิตประชาชน กลับไม่ได้รับการให้ความสำคัญเท่ากับการสร้างวัตถุให้กับประเทศ

ล่าสุดแม้ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,580 กลุ่มตัวอย่าง ในปลายสัปดาห์ของเดือนมีนาคม 2556 จะยืนยันว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการกู้เงิน แต่ไม่มั่นใจเรื่องความโปร่งใส โดยเฉพาะสิ่งที่ประชาชนเป็นห่วงกรณีการ “กู้เงิน 2 ล้านล้าน” ซึ่งจัดอันดับความไม่ไว้วางใจไว้ได้แก่ อันดับ 1 การทุจริต คอร์รัปชัน/ความโปร่งใส ในการดำเนินการของโครงการต่างๆ คิดเป็น 58.42% อันดับ 2 เรื่องความคุ้มค่า ความสำเร็จของโครงการว่าจะสำเร็จหรือไม่/การดำเนินงานหรือการสานต่องานต่างๆอาจไม่ต่อเนื่องหากมีการเปลี่ยนรัฐบาล คิดเป็น 26.80% และอันดับ 3 ประเทศชาติและประชาชนเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้น คิดเป็น 14.78%

ผู้เขียนจึงคิดเห็นว่า รัฐควรคิดใคร่ครวญและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ว่า การจะบริหารจัดการเงินมหาศาล 2 ล้านล้านบาท จากการประสงค์กู้หนี้ยืมสินของรัฐ จะเป็นสิ่งที่เป็นไปเพื่อการบริหารผลประโยชน์อันจะเกิดขึ้นต่อภาคประชาชนและเศรษฐกิจของชาติอย่างแท้จริง โดยเม็ดเงินไม่ได้ตกหล่นเรี่ยราดตามรายทางไปอยู่ในกระเป๋าใครต่อใคร ที่ตั้งใจจะใช้โอกาสแห่งการเป็นหนี้ครั้งนี้ รวยทางลัด
กำลังโหลดความคิดเห็น