ASTVผู้จัดการรายวัน- เอกชนผวาบาทแข็งชี้ระยะสั้นยังรับได้แต่หากลากยาวและแข็งต่อเนื่องไปแตะ 28 บาท/เหรียญฯเท่ากับจะแข็งค่า 8-10% ส่งออกไทยวิกฤตแน่เหตุกำไรส่งออกเฉลี่ยแค่ 5-10% เท่านั้น แนะรัฐประกาศมาตรการขู่บ้าง กลุ่มอุตฯอาหารแนะปรับตัวเจรจาขึ้นราคา ฉวยโอกาสนำเข้าเครื่องจักรลดต้นทุน
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการและรักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคส่งออกยังต้องติดตามภาวะค่าเงินบาทใกล้ชิดหลังจาก 1-2 วันที่ผ่านมา ค่าบาทของไทยแข็งค่าในระดับ 29.15-29.6 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งค่าเงินบาทแข็งค่าเฉลี่ย 4-5% เทียบกับคู่แข่งทางการค้าในภูมิภาคอาเซียนถือว่าแข็งค่าผิดปกติ ทั้งนี้หากค่าเงินบาทแข็งไปสู่ระดับ 28 บาทต่อเหรียญฯเมื่อใดเท่ากับค่าเงินบาทจะแข็งค่าในระดับ 8-10% ซึ่งเท่ากับกำไรของผู้ส่งออกโดยเฉลี่ยนั่นหมายถึงการส่งออกไทยวิกฤตแน่นอน
“ กำไรของส่งออกเช่น อาหาร สิ่งทอ รองเท้า ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เฉลี่ยอยู่ระดับ 5-10% ถ้าบาทแข็งในระดับนี้ก็จะเหลืออะไร แต่เราหวังว่าบาทแข็งช่วงนี้น่าจะระยะสั้นเพราะมาจากจิตวิทยาที่กระแสฟิตช์ เรตติ้ง ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยขึ้นเป็น BBB+ การออกพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่ทำให้เงินไหลเข้ากรณีไซปรัสเข้ารับการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือIMF แต่ทั้งนี้ก็ต้องการเห็นนโยบายรัฐทั้งคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท.มีการระบุมาตรการต่างๆ ในการสกัดเงินร้อนไว้ว่ามีอะไรบ้างเพื่อเป็นการขู่ไว้เมื่อถึงเกิดขึ้นจริงก็ค่อยนำมาใช้ถ้าหากตอนนี้ยังไม่เหมาะสม”นายธนิตกล่าว
นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ส.อ.ท.กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องเริ่มมีผลกระทบกับผู้ส่งออกบ้างแล้วเนื่องจากที่ผ่านมามีการตั้งราคาสินค้ากับคู่ค้าไว้โดยคำนึงถึงค่าเงินบาทระดับเฉลี่ย 30 บาทต่อเหรียญฯไม่คิดว่าจะแข็งค่าในระดับ29 กว่าบาทต่อเหรียญฯด้วยซ้ำไป
แต่ภาพรวมก็อาจจะยังไม่เห็นชัดนักซึ่งกำลังติดตามนโยบายภาครัฐว่าจะเข้ามาดูแลมากน้อยเพียงใดเพราะค่าเงินบาทเป็นปัจจัยที่เอกชนคุมไม่ได้ ซึ่งหากบาทแข็งค่าต่อเนื่องผู้ส่งออกในกลุ่มอาหารคงจะต้องเร่งดำเนินการที่สำคัญ 2 เรื่อง 1. เจรจาผู้ค้าเป็นรายๆ ไปที่จะขอปรับราคาสินค้าขึ้น และ 2. ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการนำเข้าเครื่องจักรมาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการใช้พลังงาน
“กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารส่งออกเวลานี้เฉลี่ยกำไร 10% เรียกว่าหรู 5% ก็ถือว่าเจ๋งแล้ว ซึ่งไตรมาส 2-3 บาทยังแข็งค่าต่อเนื่องน่าจะเห็นผลกระทบต่อการส่งออกชัดเจนขึ้นซึ่งเห็นว่าเอกชนจะต้องปรับตัวเองด้วย เพราะบาทแข็งค่าก็ถือว่าเป็นโอกาสที่จะนำเข้าเครื่องจักรมาเนื่องจากก่อนหน้าภาคการผลิตเองก็มีภาระต้นทุนเพิ่มจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300บาทต่อวันทั่วประเทศไปแล้ว”นายวิศิษฎ์กล่าว
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการและรักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคส่งออกยังต้องติดตามภาวะค่าเงินบาทใกล้ชิดหลังจาก 1-2 วันที่ผ่านมา ค่าบาทของไทยแข็งค่าในระดับ 29.15-29.6 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งค่าเงินบาทแข็งค่าเฉลี่ย 4-5% เทียบกับคู่แข่งทางการค้าในภูมิภาคอาเซียนถือว่าแข็งค่าผิดปกติ ทั้งนี้หากค่าเงินบาทแข็งไปสู่ระดับ 28 บาทต่อเหรียญฯเมื่อใดเท่ากับค่าเงินบาทจะแข็งค่าในระดับ 8-10% ซึ่งเท่ากับกำไรของผู้ส่งออกโดยเฉลี่ยนั่นหมายถึงการส่งออกไทยวิกฤตแน่นอน
“ กำไรของส่งออกเช่น อาหาร สิ่งทอ รองเท้า ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เฉลี่ยอยู่ระดับ 5-10% ถ้าบาทแข็งในระดับนี้ก็จะเหลืออะไร แต่เราหวังว่าบาทแข็งช่วงนี้น่าจะระยะสั้นเพราะมาจากจิตวิทยาที่กระแสฟิตช์ เรตติ้ง ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยขึ้นเป็น BBB+ การออกพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่ทำให้เงินไหลเข้ากรณีไซปรัสเข้ารับการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือIMF แต่ทั้งนี้ก็ต้องการเห็นนโยบายรัฐทั้งคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท.มีการระบุมาตรการต่างๆ ในการสกัดเงินร้อนไว้ว่ามีอะไรบ้างเพื่อเป็นการขู่ไว้เมื่อถึงเกิดขึ้นจริงก็ค่อยนำมาใช้ถ้าหากตอนนี้ยังไม่เหมาะสม”นายธนิตกล่าว
นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ส.อ.ท.กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องเริ่มมีผลกระทบกับผู้ส่งออกบ้างแล้วเนื่องจากที่ผ่านมามีการตั้งราคาสินค้ากับคู่ค้าไว้โดยคำนึงถึงค่าเงินบาทระดับเฉลี่ย 30 บาทต่อเหรียญฯไม่คิดว่าจะแข็งค่าในระดับ29 กว่าบาทต่อเหรียญฯด้วยซ้ำไป
แต่ภาพรวมก็อาจจะยังไม่เห็นชัดนักซึ่งกำลังติดตามนโยบายภาครัฐว่าจะเข้ามาดูแลมากน้อยเพียงใดเพราะค่าเงินบาทเป็นปัจจัยที่เอกชนคุมไม่ได้ ซึ่งหากบาทแข็งค่าต่อเนื่องผู้ส่งออกในกลุ่มอาหารคงจะต้องเร่งดำเนินการที่สำคัญ 2 เรื่อง 1. เจรจาผู้ค้าเป็นรายๆ ไปที่จะขอปรับราคาสินค้าขึ้น และ 2. ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการนำเข้าเครื่องจักรมาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการใช้พลังงาน
“กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารส่งออกเวลานี้เฉลี่ยกำไร 10% เรียกว่าหรู 5% ก็ถือว่าเจ๋งแล้ว ซึ่งไตรมาส 2-3 บาทยังแข็งค่าต่อเนื่องน่าจะเห็นผลกระทบต่อการส่งออกชัดเจนขึ้นซึ่งเห็นว่าเอกชนจะต้องปรับตัวเองด้วย เพราะบาทแข็งค่าก็ถือว่าเป็นโอกาสที่จะนำเข้าเครื่องจักรมาเนื่องจากก่อนหน้าภาคการผลิตเองก็มีภาระต้นทุนเพิ่มจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300บาทต่อวันทั่วประเทศไปแล้ว”นายวิศิษฎ์กล่าว
