กรมสรรพสามิตเผยโครงการรถยนต์คันแรกเริ่มมีผู้ผิดเงื่อนไขแล้วกว่า 2 พันราย พบเตรียมขายต่อเพราะส่งค่างวดไม่ไหว หลายรายซื้อก่อนเริ่มโครงการ ไม่ใช่รถคันแรกจริงและบางรายอายุไม่ถึง 21 ปี ส่งเจ้าหน้าที่เร่งติดตามเงินคืนให้เวลา 30 วันก่อนส่งอัยการฟ้อง
แหล่งข่าวจากรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้มีตัวเลขแจ้งเข้ามาในระบบติดตามการดำเนินโครงการคืนเงินรถยนต์คันแรกของกรมฯ ว่ามีผู้ใช้สิทธิซื้อรถยนต์ในโครงการแจ้งขอสละสิทธิการเข้าโครงการแล้วจำนวนทั้งสิ้น 2 พันคน โดยมาจากหลายสาเหตุ ทั้งผิดเงื่อนไขตั้งแต่แรก เช่น อายุไม่ถึง 21 ปี ไม่ใช่รถคันแรกจริง ซื้อก่อนเริ่มโครงการ เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้กรมฯ จะตรวจสอบและดึงเรื่องการจ่ายเงินคืนให้ไว้ก่อน และยังมีกรณีกรณีไม่ทำตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนด เช่น ถือครองไม่ครบ 5 ปี เพราะบางคนซื้อมาปีหนึ่งหรือไม่ถึงปีก็จะขายรถต่อ ซึ่งกรณีนี้มีจำนวนมาก
“ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการไม่สามารถปฎิบัติตามเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ 5 ปีได้ หรือไม่สามารถส่งค่างวดที่ต้องผ่อนส่งรายเดือนกับทางบริษัทเช่าซื้อหรือลิสซิ่งได้ไหวจนทำให้ถูกยึดรถไป รวมถึงกรณีเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตซึ่งกรณีนี้หากได้รับเงินคืนไปแล้วก็แล้วกันไปไม่ติดตามทวงคืนจากครอบครัวเจ้าของรถ” แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบด้วยว่าในจำนวนที่สละสิทธินี้มีผู้ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีและได้รับเงินคืนไม่เกิน 1 แสนบาทไปแล้วหรือไม่ หากรับแล้วและไม่นำเงินมาคืนให้ทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องก็ต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการติดตามทวงเงินคืนต่อไปแต่ก็มีผู้นำเงินมาคืนแล้วบางส่วน และบางคนขอผ่อนจ่ายคนเพราะใช้เงินหมดไปแล้ว กรณีนี้กรมสรรพสามิตต้องทำเรื่องเสนอไปยังกรมบัญชีกลางให้พิจารณา ในฐานะผู้ติดตามเงินภาษีคืนให้แผ่นดิน
สำหรับวิธีการติดตามทวงเงินคืนนั้นทางกรมสรรพสามิตจะทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าของรถให้นำเงินมาคืนภายใน 15 วันที่ได้รับหนังสือหากยังเงียบเฉยจะออกหนังสือเตือนไปอีกครั้งและให้เวลาอีก 15 วัน รวมเป็น 30 วันที่ต้องนำเงินมาจ่ายคืน ซึ่งการอกหนังสือเตือนหมายคามว่าเจ้าของรถผิดนัดชำระหนี้แล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยให้หลวงด้วย 15% ต่อปีโดยคำนวณเฉลี่ยเป็นวันจนถึงวันที่จ่ายเงินคืนครบตามจำนวน แต่หากยังนิ่งเฉยก็จะส่งเรืองไปให้กรมบัญชีกลางดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ส่วนยอดการคืนเงินภาษีให้ผู้ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีตั้งแต่เริ่มโครงการถึงปัจจุบันมีการคืนเงินไปแล้วจำนวน 58,300 รายจากจำนวนผู้เข้าโครงการทั้งสิ้น 1.25 ล้านราย และคืนเงินภาษีไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 4,231 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ปีนี้กว่า 7 พันล้านบาท
ด้านนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่ากรมฯมีหน้าที่ในการจ่ายเงินคืนภาษีเข้าบัญชีให้ผู้มีสิทธิเป็นรายเดือนเท่านั้น กรมฯ ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยติดตามเรียกเงินคืนจากผู้ที่ได้เงินไปแล้วแต่ทำผิดเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ 5 ปี โดยหน้าที่ในการติดตามหนี้นั้น กรมสรรพสามิตจะเป็นผู้ดำเนินการหากเจ้าของรถนิ่งเฉยก็จะส่งเรื่องมาให้กรมบัญชีกลางดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
“เมื่อกรมสรรพสามิตยื่นโนติสให้นำเงินมาคืนแล้วไม่มาตามกำหนดก็จะส่งเรื่องมาที่กรมบัญชีกลาง ทางกรมฯก็จะส่งเรื่องให้อัยการดำเนินการฟ้อร้องต่อไป” นายมนัส กล่าวและว่าขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการถึงขั้นส่งฟ้องร้องแต่อย่างใด
ส่วนการคืนเงินภาษีในปีงบประมาณ 2556 ที่ตั้งงบประมาณไว้ 7 พันล้านบาทและอาจไม่เพียงพอนั้น อาจจะไม่ได้ใช้เงินจากงบกลางแต่กำลังพิจารณาหาเงินจากส่วนอื่นเพื่อมาคืนให้ผู้มีสิทธิในโครงการหลังจากนั้นจึงตั้งงบประมาณปี 2557 มาชดเชยต่อไป.
แหล่งข่าวจากรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้มีตัวเลขแจ้งเข้ามาในระบบติดตามการดำเนินโครงการคืนเงินรถยนต์คันแรกของกรมฯ ว่ามีผู้ใช้สิทธิซื้อรถยนต์ในโครงการแจ้งขอสละสิทธิการเข้าโครงการแล้วจำนวนทั้งสิ้น 2 พันคน โดยมาจากหลายสาเหตุ ทั้งผิดเงื่อนไขตั้งแต่แรก เช่น อายุไม่ถึง 21 ปี ไม่ใช่รถคันแรกจริง ซื้อก่อนเริ่มโครงการ เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้กรมฯ จะตรวจสอบและดึงเรื่องการจ่ายเงินคืนให้ไว้ก่อน และยังมีกรณีกรณีไม่ทำตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนด เช่น ถือครองไม่ครบ 5 ปี เพราะบางคนซื้อมาปีหนึ่งหรือไม่ถึงปีก็จะขายรถต่อ ซึ่งกรณีนี้มีจำนวนมาก
“ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการไม่สามารถปฎิบัติตามเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ 5 ปีได้ หรือไม่สามารถส่งค่างวดที่ต้องผ่อนส่งรายเดือนกับทางบริษัทเช่าซื้อหรือลิสซิ่งได้ไหวจนทำให้ถูกยึดรถไป รวมถึงกรณีเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตซึ่งกรณีนี้หากได้รับเงินคืนไปแล้วก็แล้วกันไปไม่ติดตามทวงคืนจากครอบครัวเจ้าของรถ” แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบด้วยว่าในจำนวนที่สละสิทธินี้มีผู้ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีและได้รับเงินคืนไม่เกิน 1 แสนบาทไปแล้วหรือไม่ หากรับแล้วและไม่นำเงินมาคืนให้ทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องก็ต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการติดตามทวงเงินคืนต่อไปแต่ก็มีผู้นำเงินมาคืนแล้วบางส่วน และบางคนขอผ่อนจ่ายคนเพราะใช้เงินหมดไปแล้ว กรณีนี้กรมสรรพสามิตต้องทำเรื่องเสนอไปยังกรมบัญชีกลางให้พิจารณา ในฐานะผู้ติดตามเงินภาษีคืนให้แผ่นดิน
สำหรับวิธีการติดตามทวงเงินคืนนั้นทางกรมสรรพสามิตจะทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าของรถให้นำเงินมาคืนภายใน 15 วันที่ได้รับหนังสือหากยังเงียบเฉยจะออกหนังสือเตือนไปอีกครั้งและให้เวลาอีก 15 วัน รวมเป็น 30 วันที่ต้องนำเงินมาจ่ายคืน ซึ่งการอกหนังสือเตือนหมายคามว่าเจ้าของรถผิดนัดชำระหนี้แล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยให้หลวงด้วย 15% ต่อปีโดยคำนวณเฉลี่ยเป็นวันจนถึงวันที่จ่ายเงินคืนครบตามจำนวน แต่หากยังนิ่งเฉยก็จะส่งเรืองไปให้กรมบัญชีกลางดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ส่วนยอดการคืนเงินภาษีให้ผู้ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีตั้งแต่เริ่มโครงการถึงปัจจุบันมีการคืนเงินไปแล้วจำนวน 58,300 รายจากจำนวนผู้เข้าโครงการทั้งสิ้น 1.25 ล้านราย และคืนเงินภาษีไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 4,231 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ปีนี้กว่า 7 พันล้านบาท
ด้านนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่ากรมฯมีหน้าที่ในการจ่ายเงินคืนภาษีเข้าบัญชีให้ผู้มีสิทธิเป็นรายเดือนเท่านั้น กรมฯ ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยติดตามเรียกเงินคืนจากผู้ที่ได้เงินไปแล้วแต่ทำผิดเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ 5 ปี โดยหน้าที่ในการติดตามหนี้นั้น กรมสรรพสามิตจะเป็นผู้ดำเนินการหากเจ้าของรถนิ่งเฉยก็จะส่งเรื่องมาให้กรมบัญชีกลางดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
“เมื่อกรมสรรพสามิตยื่นโนติสให้นำเงินมาคืนแล้วไม่มาตามกำหนดก็จะส่งเรื่องมาที่กรมบัญชีกลาง ทางกรมฯก็จะส่งเรื่องให้อัยการดำเนินการฟ้อร้องต่อไป” นายมนัส กล่าวและว่าขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการถึงขั้นส่งฟ้องร้องแต่อย่างใด
ส่วนการคืนเงินภาษีในปีงบประมาณ 2556 ที่ตั้งงบประมาณไว้ 7 พันล้านบาทและอาจไม่เพียงพอนั้น อาจจะไม่ได้ใช้เงินจากงบกลางแต่กำลังพิจารณาหาเงินจากส่วนอื่นเพื่อมาคืนให้ผู้มีสิทธิในโครงการหลังจากนั้นจึงตั้งงบประมาณปี 2557 มาชดเชยต่อไป.