บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์ ทำยอดขายปี 2555 รวม 10,372,084 ล้าน เพิ่มขึ้น 13.98% จากปี 2554 ด้านกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 726,816 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.67% จากปีก่อน ผลักดันให้ดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 19 ปี ขณะเดียวกัน พบ บจ.ใหม่ยื่นไฟลิ่งแล้ว 17 ราย มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 1 แสนล้านบาท และยังมีอีก 10 บริษัทที่คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งภายในเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ เป็นผลจากเริ่มมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจประเทศ และการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพ ล่าสุดหุ้นไทยบวก10 จุด ทำนิวไฮรอบ19ปี
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ (SET) จำนวน 469 บริษัท หรือ 96.90% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 484 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 แล้ว โดยมี บจ. ที่มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานจำนวน 396 บริษัท คิดเป็น 84.43% ของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยพบยอดขายรวมของ บจ. เพิ่มขึ้นเกิน 10 ล้านล้านบาทเป็นครั้งแรกและกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนความสามารถในการทำกำไรเปรียบเทียบปี 2555 กับปีก่อนหน้าพบว่าอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 18.59% เป็น 17.98% ส่วนอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 6.91% เป็น 7.01% ด้านอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1.23 เท่า
“ยอดขายรวมของบริษัทจดทะเบียน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกไตรมาส จากการบริโภคและลงทุนในประเทศที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง รวมถึงยอดขายของ บจ. ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น จากปริมาณการจำหน่ายและราคาที่สูงขึ้น” นายชนิตรกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรรวมปี 2555 สูงสุด ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
**17บจ.ใหม่จ่อยื่นไฟลิ่ง มาร์เกตแคปกว่า1แสนล.
นายชนิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่ยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO )แล้วประมาณ 17 บริษัท หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ประมาณ 1 แสนล้านบาท และยังมีอีก 10 บริษัทที่คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งภายในเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ อีกทั้งยังมีบริษัทขนาดใหญ่อีกหลายบริษัทที่เตรียมไฟลิ่ง โดยคาดว่าจะยื่นประมาณภายในไตรมาส 3/56 โดยเป็นผลจากเริ่มมีความเชื่อมั่นในสถานการณ์การเมืองที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้หลายบริษัทได้ชะลอแผนการเข้าตลาดหุ้นออกไป อีกทั้ง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แบะตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังมีเกณฑ์ใหม่ที่ช่วยสนับสนุนการระดมทุนของภาคธุรกิจ เช่น โฮลดิ้ง อินฟาสตรัคเจอร์ และ REIT ส่งผลให้มีบริษัทสนใจเข้ามาระดมทุนมากขึ้น
**หุ้นไทยบวกต่อ ทำนิวไฮ19ปี
ขณะที่การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (5พ.ค.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,559.35 จุด เพิ่มขึ้น 10.04 จุด หรือ 0.65% มูลค่าการซื้อขาย 60,485.76 ล้านบาท โดยเป็นการปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ประกาศมาดูดีขึ้น ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจ
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ภายหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดี ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจเกี่ยวกับเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย
โดยแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(7 มี.ค.) คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัว หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นได้น้อยลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ขณะเดียวกับด้านสหรัฐฯก็ต้องระวังในช่วงปลายเดือนนี้ในการปรับลดงบการใช้จ่ายของสหรัฐฯ พร้อมให้กรอบการแกว่งตัวไว้ที่ 1,550-1,560 จุด
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ (SET) จำนวน 469 บริษัท หรือ 96.90% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 484 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 แล้ว โดยมี บจ. ที่มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานจำนวน 396 บริษัท คิดเป็น 84.43% ของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยพบยอดขายรวมของ บจ. เพิ่มขึ้นเกิน 10 ล้านล้านบาทเป็นครั้งแรกและกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนความสามารถในการทำกำไรเปรียบเทียบปี 2555 กับปีก่อนหน้าพบว่าอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 18.59% เป็น 17.98% ส่วนอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 6.91% เป็น 7.01% ด้านอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1.23 เท่า
“ยอดขายรวมของบริษัทจดทะเบียน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกไตรมาส จากการบริโภคและลงทุนในประเทศที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง รวมถึงยอดขายของ บจ. ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น จากปริมาณการจำหน่ายและราคาที่สูงขึ้น” นายชนิตรกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรรวมปี 2555 สูงสุด ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
**17บจ.ใหม่จ่อยื่นไฟลิ่ง มาร์เกตแคปกว่า1แสนล.
นายชนิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่ยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO )แล้วประมาณ 17 บริษัท หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ประมาณ 1 แสนล้านบาท และยังมีอีก 10 บริษัทที่คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งภายในเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ อีกทั้งยังมีบริษัทขนาดใหญ่อีกหลายบริษัทที่เตรียมไฟลิ่ง โดยคาดว่าจะยื่นประมาณภายในไตรมาส 3/56 โดยเป็นผลจากเริ่มมีความเชื่อมั่นในสถานการณ์การเมืองที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้หลายบริษัทได้ชะลอแผนการเข้าตลาดหุ้นออกไป อีกทั้ง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แบะตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังมีเกณฑ์ใหม่ที่ช่วยสนับสนุนการระดมทุนของภาคธุรกิจ เช่น โฮลดิ้ง อินฟาสตรัคเจอร์ และ REIT ส่งผลให้มีบริษัทสนใจเข้ามาระดมทุนมากขึ้น
**หุ้นไทยบวกต่อ ทำนิวไฮ19ปี
ขณะที่การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (5พ.ค.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,559.35 จุด เพิ่มขึ้น 10.04 จุด หรือ 0.65% มูลค่าการซื้อขาย 60,485.76 ล้านบาท โดยเป็นการปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ประกาศมาดูดีขึ้น ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจ
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ภายหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดี ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจเกี่ยวกับเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย
โดยแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(7 มี.ค.) คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัว หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นได้น้อยลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ขณะเดียวกับด้านสหรัฐฯก็ต้องระวังในช่วงปลายเดือนนี้ในการปรับลดงบการใช้จ่ายของสหรัฐฯ พร้อมให้กรอบการแกว่งตัวไว้ที่ 1,550-1,560 จุด