คลังขีดเส้นตายเอสเอ็มอีแบงก์ต้องส่งแผนฟื้นฟูภายในสัปดาห์นี้ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ประกบก่อนเพิ่มทุนล็อตแรก 555 ล้านบาทในไตรมาสแรก “ทนุศักดิ์” รับการเมืองต้องเข้าแทรกก่อนแบงก์เสียหายไปมากกว่านี้
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมว.คลัง เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้คณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ จะสามารถเสนอรายะลเอียดของแผนฟื้นฟูมาให้พิจารณาได้ หลังจากที่กระทรวงการคลังส่งทีมเข้าไปช่วยดำเนินการแล้ว เพราะหากปล่อยให้นานออกไปยิ่งจะทำให้ธนาคารเกิดความเสียหาย โดยในระยะ 6 เดือนแรกนี้ ธพว.จะต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้เสียที่มีกว่า 4 หมื่นล้านบาท รวมถึงกำหนดมาตรการในการติดตามหนี้ที่เกิดจากการให้สินเชื่อใหม่ที่เน้นให้รายย่อยไม่เกิน 5 ล้านบาทด้วย
ส่วนแผนปรับโครงสร้างระยะ 3 ปี นั้น ต้องเน้นปรับระบบการบริหารจัดการองค์กรเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในระยะยาว เช่น ระบบการปล่อยสินเชื่อ ระบบการกำกับติดตามลูกหนี้ การบริการความเสี่ยง เป็นต้น โดยหลังจากที่ธพว.ส่งแผนฟื้นฟูมาให้แล้วกระทรวงการคลังจะสามารถจัดสรรเงินเพิ่มทุนเบื้องต้นให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ 555 ล้านบาท ซึ่งจัดสรรไว้แล้วในงบประมาณปี 2556 และจะมีการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ก่อนจะพิจารณาเพิ่มทุนให้ต่อไป
“เดิมทีบอร์ดเอสเอ็มอีแบงก์จะส่งแผนฟื้นฟูมาให้ตั้งแต่ปลายปีก่อนแต่ไม่สามารถทำเสร็จ กระทรวงการคลังจึงส่งทีมทั้งจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) เข้าไปช่วยดำเนินการ และผมกำลังให้บอร์ดตั้งคณะอนุกรรมการอีก 3 ชุดเข้าไปติดตามการทำงานทั้งด้านเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย การบริหารสินเชื่อ โดยยอมรับว่าครั้งนี้การเมืองเข้าไปแทรกแซงเต็มตัวเพราะรอไม่ไหวและหากปล่อยไว้ไม่เร่งดำเนินการยิ่งจะทำให้แบงก์เสียหาย” นายทนุศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังยังมีแนวคิดให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนของภาครัฐ เช่น การใช้ทรัพยากรร่วมกัน หรือมีการเชื่อมโยงระบบที่ให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งไม่ใช่การควบรวมกันแต่เป็นการทำงานร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่ประชาชนและรายย่อย รวมทั้งจะไม่ทำงานแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ และมีการแยกเป้าหมายลูกค้าให้ชัดเจนจะได้ไม่แย่งลูกค้ากันเอง รวมถึงการประสานงานด้านการระดมทุนต่อไปในอนาคต
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมว.คลัง เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้คณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ จะสามารถเสนอรายะลเอียดของแผนฟื้นฟูมาให้พิจารณาได้ หลังจากที่กระทรวงการคลังส่งทีมเข้าไปช่วยดำเนินการแล้ว เพราะหากปล่อยให้นานออกไปยิ่งจะทำให้ธนาคารเกิดความเสียหาย โดยในระยะ 6 เดือนแรกนี้ ธพว.จะต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้เสียที่มีกว่า 4 หมื่นล้านบาท รวมถึงกำหนดมาตรการในการติดตามหนี้ที่เกิดจากการให้สินเชื่อใหม่ที่เน้นให้รายย่อยไม่เกิน 5 ล้านบาทด้วย
ส่วนแผนปรับโครงสร้างระยะ 3 ปี นั้น ต้องเน้นปรับระบบการบริหารจัดการองค์กรเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในระยะยาว เช่น ระบบการปล่อยสินเชื่อ ระบบการกำกับติดตามลูกหนี้ การบริการความเสี่ยง เป็นต้น โดยหลังจากที่ธพว.ส่งแผนฟื้นฟูมาให้แล้วกระทรวงการคลังจะสามารถจัดสรรเงินเพิ่มทุนเบื้องต้นให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ 555 ล้านบาท ซึ่งจัดสรรไว้แล้วในงบประมาณปี 2556 และจะมีการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ก่อนจะพิจารณาเพิ่มทุนให้ต่อไป
“เดิมทีบอร์ดเอสเอ็มอีแบงก์จะส่งแผนฟื้นฟูมาให้ตั้งแต่ปลายปีก่อนแต่ไม่สามารถทำเสร็จ กระทรวงการคลังจึงส่งทีมทั้งจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) เข้าไปช่วยดำเนินการ และผมกำลังให้บอร์ดตั้งคณะอนุกรรมการอีก 3 ชุดเข้าไปติดตามการทำงานทั้งด้านเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย การบริหารสินเชื่อ โดยยอมรับว่าครั้งนี้การเมืองเข้าไปแทรกแซงเต็มตัวเพราะรอไม่ไหวและหากปล่อยไว้ไม่เร่งดำเนินการยิ่งจะทำให้แบงก์เสียหาย” นายทนุศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังยังมีแนวคิดให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนของภาครัฐ เช่น การใช้ทรัพยากรร่วมกัน หรือมีการเชื่อมโยงระบบที่ให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งไม่ใช่การควบรวมกันแต่เป็นการทำงานร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่ประชาชนและรายย่อย รวมทั้งจะไม่ทำงานแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ และมีการแยกเป้าหมายลูกค้าให้ชัดเจนจะได้ไม่แย่งลูกค้ากันเอง รวมถึงการประสานงานด้านการระดมทุนต่อไปในอนาคต
