วานนี้(4 มี.ค.56)นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีฮั้วประมูลและฉ้อโกงการก่อสร้างโรงพักทดแทนจำนวน 396 แห่ง ว่า ล่าสุดดีเอสไอได้รับการติดต่อจากกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทพีซีซี ดีเวลลอปเม้นท์แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด ว่า กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัททั้ง 3 ราย ประกอบด้วย นายพิบูลย์ อุดมสทธิกุล นายวิษณุ วิเศษสิงห์ และนายจาตุรงค์ อุดมสิทธิกุล จะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาคดีฉ้อโกงผู้รับเหมาช่วงในวันที่ 7 มี.ค. นี้ เวลา 9.30 น.สำหรับคดีฮั้วประมูลคณะพนักงานสอบสวนได้ประชุมสรุปสำนวนเพื่อเรียบเรียงเอกสารหลักฐานส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ภายในวันที่ 6 มี.ค.นี้
ด้านพ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เปิดเผยว่าภายหลังได้รับการติดต่อจากบริษัทพีซีซีฯ ดีเอสไอได้เตรียมพร้อมในขั้นตอนแจ้งข้อกล่าวหาแก่กรรมการบริษัทพีซีซี โดยคดีฉ้อโกงจะแยกกล่าวหาเป็นรายคดีตามที่ผู้รับเหมาช่วงในฐานะผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยขณะนี้มีผู้รับเหมาช่วงเข้าร้องทุกข์แล้ว 20 ราย จึงต้องแจ้งข้อกล่าวหารวม 20 กรรม โดยคดีฉ้อโกงกำหนดระวางโทษจำคุกไว้ กรรมละ 3 ปี หลังจากนี้ดีเอสไอจะรอฟังผลการพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ว่าจะมีมติต่อสัญญาขยายเวลาการก่อสร้างให้บริษัทพีซีซีฯ หรือจะตัดสินใจยกเลิกสัญญา หากมีมติให้ยกเลิกสัญญาดีเอสไอจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหากับบริษัทพีซีซีฯ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือฮั้วประมูลอีก 1 ข้อหา เนื่องจากเป็นการประมูลที่เสนอราคาต่ำจนผิดปกติและผู้ชนะการประมูลไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ
แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า สำหรับคดีฮั้วประมูล หลักฐานค่อนข้างชัดเจนถึงการเข้ามาล้วงลูก แทรกแซงของฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการฝ่าฝืนมติครม.สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีมติให้แยกการประมูลเป็นรายกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ซึ่งต่อมานายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ได้ใช้ดุลยพินิจ อนุมัติให้ประมูลแบบแยกเป็น 9 กองบัญชาการ แล้วมีคำสั่งยกเลิกการประมูล ก่อนจะอนุมัติให้ประมูลแบบรวมสัญญาเดียวที่สตช. ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่อให้เห็นถึงการใช้ดุลยพินิจกลับไปกลับมา โดยไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
ด้านพ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เปิดเผยว่าภายหลังได้รับการติดต่อจากบริษัทพีซีซีฯ ดีเอสไอได้เตรียมพร้อมในขั้นตอนแจ้งข้อกล่าวหาแก่กรรมการบริษัทพีซีซี โดยคดีฉ้อโกงจะแยกกล่าวหาเป็นรายคดีตามที่ผู้รับเหมาช่วงในฐานะผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยขณะนี้มีผู้รับเหมาช่วงเข้าร้องทุกข์แล้ว 20 ราย จึงต้องแจ้งข้อกล่าวหารวม 20 กรรม โดยคดีฉ้อโกงกำหนดระวางโทษจำคุกไว้ กรรมละ 3 ปี หลังจากนี้ดีเอสไอจะรอฟังผลการพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ว่าจะมีมติต่อสัญญาขยายเวลาการก่อสร้างให้บริษัทพีซีซีฯ หรือจะตัดสินใจยกเลิกสัญญา หากมีมติให้ยกเลิกสัญญาดีเอสไอจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหากับบริษัทพีซีซีฯ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือฮั้วประมูลอีก 1 ข้อหา เนื่องจากเป็นการประมูลที่เสนอราคาต่ำจนผิดปกติและผู้ชนะการประมูลไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ
แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า สำหรับคดีฮั้วประมูล หลักฐานค่อนข้างชัดเจนถึงการเข้ามาล้วงลูก แทรกแซงของฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการฝ่าฝืนมติครม.สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีมติให้แยกการประมูลเป็นรายกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ซึ่งต่อมานายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ได้ใช้ดุลยพินิจ อนุมัติให้ประมูลแบบแยกเป็น 9 กองบัญชาการ แล้วมีคำสั่งยกเลิกการประมูล ก่อนจะอนุมัติให้ประมูลแบบรวมสัญญาเดียวที่สตช. ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่อให้เห็นถึงการใช้ดุลยพินิจกลับไปกลับมา โดยไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของกฎหมาย