ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
"เตาอบไมโครเวฟ" ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของมนุษยชาติไปแล้วในยุคนี้ ที่ทำให้มนุษย์มีความสะดวกรวดเร็วในการปรุงอาหารหรืออุ่นอาหารและเครื่องดื่ม แต่ใครจะเชื่อว่าจะมีอีกด้านหนึ่งที่เราอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับการศึกษาและค้นคว้าในการใช้เตาไมโครเวฟว่าอาจมีอันตรายต่อผู้ใช้เช่นกัน
สหภาพโซเวียตซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศที่ประดิษฐ์ต่อยอดเตาอบไมโครเวฟต่อจากเยอมมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้ประกาศห้ามใช้เตาไมโครเวฟมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 หรือกว่า 34 ปีที่แล้ว เพราะค้นพบว่าการใช้เตาอบไมโครเวฟในอาหารนั้นจะมีผลต่อสุขภาพร่างกายมนุษย์
งานศึกษาและค้นคว้าที่น่าสนใจที่จะขอหยิบยกมาอ้างอิงมีอยู่หลายชิ้นมาก เพื่อให้ผู้อ่านได้ตระหนักในการใช้เตาอบไมโครเวฟดังนี้
The Minnesota Extension Service แห่งมหาวิทยาลัย มินิโซต้า สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2532 เกี่ยวกับการอุ่นนมโดยใช้เตาอบไมโครเวฟให้เด็กดื่มความตอนหนึ่งว่า "การอุ่นนมด้วยเตาอบไมโครเวฟให้เด็กดื่มนั้น สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพนมได้ โดยอาจมีการสูญเสียวิตามิน คุณค่าและประโยชน์ถูกทำลาย"
Dr. Lita Lee จาก ฮาวาย ได้รายงานงานวิจัยของ Lancet ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ความตอนหนึ่งว่า "การใช้ไมโครเวฟในการอุ่นนมให้เด็กดื่มนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสูตรทางเคมี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดอะมิโน ให้กลายเป็นรูปแบบของ การสังเคราะห์ cis -isomer ของกรดอะมิโน ซึ่งแม้จะไม่ได้มีผลทางชีววิทยา แต่สำคัญไปกว่านั้นคือ หนึ่งในกรดอะมิโนที่เรียกว่า T-proline จะถูกเปลี่ยนโครงสร้างเคมีไปเป็น D-isomer ซึ่งเป็นพิษต่อทั้งระบบเส้นประสาทและไต"
ในปี พ.ศ. 2534 มีคดีความที่ โอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับคดีที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งนางพยาบาลได้ใช้เตาอบไมโครเวฟในการอุ่นถุงเลือดสำหรับการให้เลือดผู้ป่วยชื่อ นาง Norma Levitt ในการผ่าตัดสะโพก ผลปรากฏว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวเสียชีวิตจากการให้เลือดที่ผ่านการอุ่นด้วยเตาอบไมโครเวฟ
ในการศึกษาเชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับงานไมโครเวฟ ได้เคยมีงานเผยแพร่ โดย Raum และ Zelt ในปี พ.ศ. 2535 โดยระบุว่า "จากการศึกษาในระยะสั้นพบการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อเลือดในการดื่มน้ำและผักที่ผ่านเตาอบไมโครเวฟ กว่าคืออาสาสมัคร 8 คน ได้รับประทานอาหารชนิดเดียวกันแต่ใช้วิธีการทำอาหารที่แตกต่างกัน ผลปรากฏว่าอาหารทั้งหมดที่ได้ผ่านเตาอบไมโครเวฟทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเลือดของอาสาสมัคร โดยพบว่าระดับฮีโมโกลบิน (ส่วนประกอบสำคัญที่อยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่นำออกซิเจนไปยังเซลล์และอวัยวะต่างๆ) แต่เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่สร้างสาร antibody ขึ้นมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค ที่เรียกว่า "ลิมโฟไซต์" ก็มีระดับลดลง
Dr.Han Ulrich Hertel ที่คลีนิคใน ประเทศ สวิสเซอร์แลนด์ ผู้ซึ่งเคยทำงานด้านวิทยาศาสตร์การอาหารมาเป็นเวลาหลายปี ได้เคยเผยแพร่งานวิจัยที่ระบุว่าอาหารที่ผ่านเตาอบไมโครเวฟสามารถทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าอาหารที่ทำแบบดั้งเดิมโดยเฉลี่ย ในบทความนี้ยังได้ระบุใน Journal Franz Weber ฉบับที่ 19 ซึ่งระบุด้วยว่า การบริโภคอาหารที่ผ่านเตาไมโครเวฟมีผลกระทบเกี่ยวกับมะเร็งในเม็ดเลือด
นอกจากนี้ Dr.Han Ulrich Hertel ยังได้ทำงานร่วมกับ Dr.Bernard H. Blanc จากสถาบันเทคโนโลยีสหพันธรัฐสวิส และสถาบันมหาวิทยาลัยด้านชีวเคมีวิทยา โดยจากการศึกษาอาสาสมัคร ระหว่าง 2-5 วัน โดยให้ตัวแปรอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างเดียว บนเงื่อนไขกระเพาะอาหารว่างไม่รับประทานอย่างอื่น ได้แก่ 1.นมสด, 2. นมสำหรับใช้ทำอาหาร, 3. นมพาสเจอไรซ์, 4. นมสดที่ผ่านกระบวนการอบในเตาอบไมโครเวฟ, 5. ผักสดที่ไร้สารพิษ, 6. ผักไร้สารพิษชนิดเดียวกันที่ปรุงปกติ, 7. ผักไร้สารพิษชนิดเดียวกัน, 8. ผักที่ผ่านกระบวนการอบในเตาอบไมโครเวฟ
เมื่ออาสาสมัครได้ถูกตรวจเลือดก่อนรับประทานอาหารที่กำหนดเอาไว้ หลังจากรับประทานอาหารตามที่ได้เลือกแล้วจึงได้ตรวจเลือดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผลการตรวจพบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญว่า ผู้ที่รับประทานอาหารหรือนมที่ผ่านเตาอบไมโครเวฟ มีระดับฮีโมโกลบินลดลง เช่นเดียวกับเม็ดเลือดขาวประเภทลิมโฟไซต์ ก็ลดลง ซึ่งสอดคล้องและตรงกันกับงานวิจัยในประเทศอื่น เช่นกัน
Dr. Lita Lee จากฮาวาย ได้เขียนหนังสือเรื่อง รังสีไมโครเวฟและเตาอบไมโครเวฟ โดยระบุว่า ทุกครั้งที่มีการรั่วไหลของรังสี electro-magnetic จากเตาอบไมโครเวฟ ทำให้อาหารถูกแปรสภาพเป็นอันตรายและพิษต่ออวัยวะกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
ทั้งนี้ Dr. Lita Lee ได้อ้างอิงการค้นคว้าของสหภาพโซเวียต ซึ่งถูกตีพิมพ์โดย Atlantis Rising Educational Center เมือง พอร์ตแลนด์ มลรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ "สารก่อมะเร็ง" ที่ถูกก่อขึ้นในอาหารทุกชนิดที่ใช้ในการทดสอบจากการปรุงอาหารโดยการให้เตาอบไมโครเวฟที่ทำการทดสอบโดยชาวรัสเซียซึ่งได้ผลดังต่อไปนี้
- เนื้อสัตว์ที่ผ่านการอบในเตาอบไมโครเวฟ จะก่อให้เกิดการก่อตัวของสิ่งที่เรียกว่า d-Nitrosodiethanolamines หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง
- นมที่ผสมกับธัญพืช (Cereal Grans) แล้วถูกอุ่นให้ร้อนโดยเตาอบไมโครเวฟ จะถูกแปลงไปเป็นสารก่อมะเร็ง
- ผลไม้แช่แข็งที่ถูกให้ความร้อนโดยเตาอบไมโครเวฟ จะทำให้น้ำตาลและแป้งในผลไม้ที่เรียกว่า Glucoside และ Galactyoside จะถูกแตกตัวไปและกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
- การใช้ความร้อนสูงจากเตาอบไมโครเวฟเพื่อใช้ในการทำอาหารพวกผักสด ปรุงสุก หรือแช่แข็ง จะถูกกลายสภาพกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
- อนุมูลอิสระที่เป็นสารก่อมะเร็งทั้งหลาย จะรวมกลุ่มกันในพืชที่ผ่านไมโครเวฟ โดยเฉพาะผักที่มีราก และลดคุณค่าของอาหารนั้นๆ
จากรายงานของกลุ่มนักวิจัยชาวรัสเซียได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอาหารนั้นเป็นอย่างรวดเร็ว และเป็นสาเหตุของการลดลงของคุณค่าอาหาร 60%-90% โดยพบว่า เป็นการลดคุณค่าของสารอาหารตามธรรมชาติของวิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินอี แร่ธาตุที่สำคัญ และประสิทธิภาพการป้องกันการสะสมของไขมันในตับในอาหารทุกประเภท และยังทำลายสารประกอบที่สำคัญหลายชนิดที่อยู่ในผัก เช่น Alkaloids, Glucosides, Galactosides, Nitrilosides อีกทั้งยังลดคุณสมบัติ nucleo-proteins ในเนื้อสัตว์
Dr. Lita Lee ยังได้เฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางเคมีของเลือดและอัตราการเจ็บป่วยระหว่างผู้บริโภคอาหารจากเตาอบไมโครเวฟ ซึ่งอาการเจ็บป่วยมากมาย และตัวอย่างของสาเหตุที่พบนั้นมีดังต่อไปนี้
- มีการพบว่าต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติไป ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการต่อต้านหรือป้องกันเซลล์มะเร็งหลายชนิดลดลงไป
- พบอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นของเซลล์มะเร็งในเลือด
- พบโอกาสในอัตราเพิ่มขึ้นสำหรับมะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้
- พบอัตราความผิดปกติในระบวนการย่อยอาหารเพิ่มมากขึ้น และระบบจะค่อยๆเสื่อมสภาพจนถูกทำลายและไม่สามารถย่อยอาหารได้อีก
ส่วนใครจะเชื่อเนื้อหาข้างต้นนี้หรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล ไม่มีใครจะห้ามได้ เพียงแต่ถ้าได้หยุดคิดสักนิด และถ้ามีทางเลือกได้ก็น่าจะเลือกหนทางที่จะลดความเสี่ยงให้น้อยลงจะดีไหม?