**การเดินทางไปมาเลเซียของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หุ่นเชิดนักโทษชายทักษิณในวันที่ 28 ก.พ.56 นับเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกท่วงท่าของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูเหมือนจะผูกติดอยู่กับความเอื้ออาทรของ ประเทศมาเลเซีย อย่างน่าประหลาดใจ
นับจากที่มีข่าวว่านักโทษชายทักษิณ เดินทางไปพบกับกลุ่มพูโล ที่มาเลเซียประมาณเดือนมีนาคม 2555 กระทั่งเกิดเหตุรุนแรงตามมา ด้วยการลอบวางระเบิด ร.ร.ลีการ์เด้น หาดใหญ่ และอีกหลายจุด เพื่อแสดงศักยภาพของกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ และไม่คิดที่จะเจรจากับรัฐบาล
ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์ผ่านมาเกือบปี แทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะเรียนรู้ และเพิ่มความระมัดระวังในการขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคง กลับเดินตามรอยเท้าของนักโทษชาย อย่างดื้อดึงต่อไป
**กระทั่งนำมาสู่การประโคมข่าว “เปิดโต๊ะเจรจา” กับกลุ่มที่ก่อความไม่สงบอย่างอึกทึกครึกโครม โดยมีมาเลเซีย คอยกินรวบเพราะ “มีแต่ได้กับได้!”
ที่บอกว่ามาเลเซียมีแต่ได้กับได้ เป็นเพราะว่า รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายไปร้องขอให้มาเลเซีย ยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวกับปัญหาภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลอื่นไม่เคยมีใครดำเนินนโยบายเช่นนี้ นอกจากเป็นการประสานความร่วมมือด้านการข่าว และอื่นๆ หาใช่ “การใช้” มาเลเซียเป็นสถานที่เจรจากับกลุ่มก่อความไม่สงบอย่างเป็นทางการ โดยมีรัฐบาลไทยรับรองเยี่ยงนี้
มาเลเซียจึงได้หน้าได้ตาไปโดยปริยาย มากไปกว่านั้น การที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อ้อนวอนขอให้ทางการมาเลเซียช่วยเป็นตัวกลางในการประสานให้เจ้าหน้าที่ไทย ได้พบกับกลุ่มก่อความไม่สงบนั้น ก็เท่ากับเป็นการ “ยกระดับ” กลุ่มเหล่านี้ให้มีตัวตนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ภายใต้การรับรองของรัฐบาลไทยเอง หลังจากที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนยอมรับสถานะดังกล่าว
เพราะจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศที่จะทำให้ต่างชาติยื่นมือเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยได้ง่ายดายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นเพราะนโยบายฉาบฉวย ไร้สติของรัฐบาลน้องสาวนักโทษนั่นเอง
จะว่าไปก็ถือเป็นตลกร้ายอย่างยิ่ง เพราะในยุคคิดใหม่ ทำใหม่ของ ทักษิณ ที่มีการยุบกลไกการแก้ปัญหาทั้ง ศอ.บต. และ พตท.43 ประกอบกับมีการอุ้มฆ่าอย่างกว้างขวาง ไปจนถึงเหตุการณ์ตากใบ กรือเซะ ที่เป็นบาดแผลเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้นั้น คนที่จุดไฟใต้ให้ลุกโชนอย่างทักษิณ ในขณะนั้นไม่เคยยอมรับว่ามีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนโดยใช้คำพูดว่า
**"ไม่มีการแบ่งแยกดินแดน ไม่มีผู้ก่อการร้ายอุดมการณ์ มีแต่โจรกระจอก"
หลังจากคำพูดพล่อยๆ ของนักโทษชายทักษิณ ภาคใต้ก็ไม่เคยสงบอีกเลย จนมีคนเสียชีวิตไปแล้วกว่าห้าพันคน และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เริ่มต้นขึ้นในยุคที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่สามารถยกเลิกได้
น่าเสียดายที่ชีวิตคนในพื้นที่รวมทั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง ทหาร ต้องเซ่นสังเวยไปกับนโยบายคิดใหม่ ทำใหม่ จนบรรลัยไปทั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แทนที่ผู้เป็นน้องสาวอย่างยิ่งลักษณ์ จะไถ่บาปให้กับพี่ชาย กลับเดินหน้านำประชาชนในพื้นที่เข้าสู่ความเสี่ยงครั้งสำคัญอีกครั้ง
เพราะการเดินหน้านโยบายด้านความมั่นคงอย่างโฉ่งฉ่าง เนื่องจากมีเป้าหมายทางการเมืองนำหน้าความมั่นคง จนลืมถึงความละเอียดอ่อนของปัญหาที่มีหลากหลายมิติ ไม่ใช่ว่าให้มาเลเซียมาเป็นตัวกลางแล้วทุกอย่างจะจบได้โดยง่าย เพราะเป้าหมายของกลุ่มที่อ้างว่ามีอุดมการณ์ คือ “การแบ่งแยกดินแดน ประกาศเอกราช แยกรัฐปัตตานี ออกจากราชอาณาจักรไทย” ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยไม่มีทางยอมได้
การที่รัฐบาลเปิดทางเจรจา ประกอบกับมีนโยบายตั้งแต่การหาเสียงเกี่ยวกับ “นครปัตตานี” ซึ่งอ้างว่าเป็นการปกครองรูปแบบพิเศษ ย่อมทำให้เกิดความคลางแคลงใจได้ว่า จะไปไกลกว่าเขตปกครองพิเศษหรือไม่ เพราะถ้าเป็นแค่เขตปกครองพิเศษกลุ่มที่ก่อความไม่สงบย่อมไม่พอใจ ที่สำคัญคือ ท่าทีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ไม่อินังขังขอบกับปัญหาภาคใต้เท่าใดนัก ราวกับว่าถ้าตัดด้ามขวานไปได้ก็สิ้นปัญหามารำคาญหัวใจ
**จึงไม่แปลกที่นกรู้อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะตีชิ่ง ไม่ร่วมเดินทางไปมาเลเซียกับนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เพราะคงรู้ดีว่า มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเดินเกมพลาด เจรจาผิดกลุ่ม กระทั่งเกิดเหตุรุนแรงตามมาได้ การไม่ไปร่วมด้วยจึงเป็นความปลอดภัยที่สุด เกิดเหตุร้ายก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่า ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้เดินทางไปด้วย
ขนาดนกรู้อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ยังหนี แล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าการตัดสินใจของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะนำมาซึ่งสันติสุข ในเมื่อยังมีความไม่แน่นอนว่า กลุ่มที่จะมาเจรจากับรัฐบาลไทยนั้น จะกุมสภาพการเคลื่อนไหวในพื้นที่ได้จริง ในเมื่อเพิ่งมีกลุ่มก่อความไม่สงบถูกวิสามัญฆาตกรรมไป 17 ศพ จากการบุกโจมตีฐานทหารที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับกลุ่มพูโล ที่รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะไปเจรจาด้วย
ที่สำคัญคือหลายคนที่เสียชีวิตไปนั้น คือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตากใบที่มีการใช้อำนาจรัฐกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมในยุคที่นักโทษชายทักษิณเรืองอำนาจ แทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะมองปัญหาจากพื้นฐานความจริงที่เกิดขึ้น กลับคิดง่ายๆ แค่ว่ามาเลเซีย คือคำตอบทุกอย่างที่จะช่วยได้
**อาจเป็นเคราะห์กรรมของประเทศที่มี “พี่น้องตระกูลชิน” เป็นผู้บริหาร พี่ชายจุดไฟในภาคใต้ น้องสาวกำลังชักศึกเข้าบ้าน ดึงมาเลเซียเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศ ยกระดับกลุ่มก่อความไม่สงบให้มีสถานะที่ชัดเจนมากขึ้น จนอาจนำไปสู่การแทรกแซงของนานาชาติตามมา
นับจากที่มีข่าวว่านักโทษชายทักษิณ เดินทางไปพบกับกลุ่มพูโล ที่มาเลเซียประมาณเดือนมีนาคม 2555 กระทั่งเกิดเหตุรุนแรงตามมา ด้วยการลอบวางระเบิด ร.ร.ลีการ์เด้น หาดใหญ่ และอีกหลายจุด เพื่อแสดงศักยภาพของกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ และไม่คิดที่จะเจรจากับรัฐบาล
ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์ผ่านมาเกือบปี แทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะเรียนรู้ และเพิ่มความระมัดระวังในการขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคง กลับเดินตามรอยเท้าของนักโทษชาย อย่างดื้อดึงต่อไป
**กระทั่งนำมาสู่การประโคมข่าว “เปิดโต๊ะเจรจา” กับกลุ่มที่ก่อความไม่สงบอย่างอึกทึกครึกโครม โดยมีมาเลเซีย คอยกินรวบเพราะ “มีแต่ได้กับได้!”
ที่บอกว่ามาเลเซียมีแต่ได้กับได้ เป็นเพราะว่า รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายไปร้องขอให้มาเลเซีย ยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวกับปัญหาภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลอื่นไม่เคยมีใครดำเนินนโยบายเช่นนี้ นอกจากเป็นการประสานความร่วมมือด้านการข่าว และอื่นๆ หาใช่ “การใช้” มาเลเซียเป็นสถานที่เจรจากับกลุ่มก่อความไม่สงบอย่างเป็นทางการ โดยมีรัฐบาลไทยรับรองเยี่ยงนี้
มาเลเซียจึงได้หน้าได้ตาไปโดยปริยาย มากไปกว่านั้น การที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อ้อนวอนขอให้ทางการมาเลเซียช่วยเป็นตัวกลางในการประสานให้เจ้าหน้าที่ไทย ได้พบกับกลุ่มก่อความไม่สงบนั้น ก็เท่ากับเป็นการ “ยกระดับ” กลุ่มเหล่านี้ให้มีตัวตนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ภายใต้การรับรองของรัฐบาลไทยเอง หลังจากที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนยอมรับสถานะดังกล่าว
เพราะจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศที่จะทำให้ต่างชาติยื่นมือเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยได้ง่ายดายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นเพราะนโยบายฉาบฉวย ไร้สติของรัฐบาลน้องสาวนักโทษนั่นเอง
จะว่าไปก็ถือเป็นตลกร้ายอย่างยิ่ง เพราะในยุคคิดใหม่ ทำใหม่ของ ทักษิณ ที่มีการยุบกลไกการแก้ปัญหาทั้ง ศอ.บต. และ พตท.43 ประกอบกับมีการอุ้มฆ่าอย่างกว้างขวาง ไปจนถึงเหตุการณ์ตากใบ กรือเซะ ที่เป็นบาดแผลเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้นั้น คนที่จุดไฟใต้ให้ลุกโชนอย่างทักษิณ ในขณะนั้นไม่เคยยอมรับว่ามีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนโดยใช้คำพูดว่า
**"ไม่มีการแบ่งแยกดินแดน ไม่มีผู้ก่อการร้ายอุดมการณ์ มีแต่โจรกระจอก"
หลังจากคำพูดพล่อยๆ ของนักโทษชายทักษิณ ภาคใต้ก็ไม่เคยสงบอีกเลย จนมีคนเสียชีวิตไปแล้วกว่าห้าพันคน และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เริ่มต้นขึ้นในยุคที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่สามารถยกเลิกได้
น่าเสียดายที่ชีวิตคนในพื้นที่รวมทั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง ทหาร ต้องเซ่นสังเวยไปกับนโยบายคิดใหม่ ทำใหม่ จนบรรลัยไปทั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แทนที่ผู้เป็นน้องสาวอย่างยิ่งลักษณ์ จะไถ่บาปให้กับพี่ชาย กลับเดินหน้านำประชาชนในพื้นที่เข้าสู่ความเสี่ยงครั้งสำคัญอีกครั้ง
เพราะการเดินหน้านโยบายด้านความมั่นคงอย่างโฉ่งฉ่าง เนื่องจากมีเป้าหมายทางการเมืองนำหน้าความมั่นคง จนลืมถึงความละเอียดอ่อนของปัญหาที่มีหลากหลายมิติ ไม่ใช่ว่าให้มาเลเซียมาเป็นตัวกลางแล้วทุกอย่างจะจบได้โดยง่าย เพราะเป้าหมายของกลุ่มที่อ้างว่ามีอุดมการณ์ คือ “การแบ่งแยกดินแดน ประกาศเอกราช แยกรัฐปัตตานี ออกจากราชอาณาจักรไทย” ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยไม่มีทางยอมได้
การที่รัฐบาลเปิดทางเจรจา ประกอบกับมีนโยบายตั้งแต่การหาเสียงเกี่ยวกับ “นครปัตตานี” ซึ่งอ้างว่าเป็นการปกครองรูปแบบพิเศษ ย่อมทำให้เกิดความคลางแคลงใจได้ว่า จะไปไกลกว่าเขตปกครองพิเศษหรือไม่ เพราะถ้าเป็นแค่เขตปกครองพิเศษกลุ่มที่ก่อความไม่สงบย่อมไม่พอใจ ที่สำคัญคือ ท่าทีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ไม่อินังขังขอบกับปัญหาภาคใต้เท่าใดนัก ราวกับว่าถ้าตัดด้ามขวานไปได้ก็สิ้นปัญหามารำคาญหัวใจ
**จึงไม่แปลกที่นกรู้อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะตีชิ่ง ไม่ร่วมเดินทางไปมาเลเซียกับนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เพราะคงรู้ดีว่า มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเดินเกมพลาด เจรจาผิดกลุ่ม กระทั่งเกิดเหตุรุนแรงตามมาได้ การไม่ไปร่วมด้วยจึงเป็นความปลอดภัยที่สุด เกิดเหตุร้ายก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่า ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้เดินทางไปด้วย
ขนาดนกรู้อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ยังหนี แล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าการตัดสินใจของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะนำมาซึ่งสันติสุข ในเมื่อยังมีความไม่แน่นอนว่า กลุ่มที่จะมาเจรจากับรัฐบาลไทยนั้น จะกุมสภาพการเคลื่อนไหวในพื้นที่ได้จริง ในเมื่อเพิ่งมีกลุ่มก่อความไม่สงบถูกวิสามัญฆาตกรรมไป 17 ศพ จากการบุกโจมตีฐานทหารที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับกลุ่มพูโล ที่รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะไปเจรจาด้วย
ที่สำคัญคือหลายคนที่เสียชีวิตไปนั้น คือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตากใบที่มีการใช้อำนาจรัฐกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมในยุคที่นักโทษชายทักษิณเรืองอำนาจ แทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะมองปัญหาจากพื้นฐานความจริงที่เกิดขึ้น กลับคิดง่ายๆ แค่ว่ามาเลเซีย คือคำตอบทุกอย่างที่จะช่วยได้
**อาจเป็นเคราะห์กรรมของประเทศที่มี “พี่น้องตระกูลชิน” เป็นผู้บริหาร พี่ชายจุดไฟในภาคใต้ น้องสาวกำลังชักศึกเข้าบ้าน ดึงมาเลเซียเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศ ยกระดับกลุ่มก่อความไม่สงบให้มีสถานะที่ชัดเจนมากขึ้น จนอาจนำไปสู่การแทรกแซงของนานาชาติตามมา