ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยิ่งเข้าใกล้โค้งสุดท้ายของศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) มากขึ้นเท่าไหร่ สถานการณ์การต่อสู้เพื่อช่วงชิงคะแนนเสียงก็ยิ่งดุเดือดเลือดพล่านมากขึ้นเท่านั้น และผู้สมัครที่ถูกจับตามองมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น 2 ผู้สมัครจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์
และพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้ นอกจากต่างฝ่ายต่างเร่งเดินสายหาเสียงกันขาแทบขวิดแล้ว สารพัดกลยุทธ์ทั้งบนดินและใต้ดินต่างก็ถูกนำมาใช้จนไม่รู้ว่า ฝ่ายไหนหรือฝ่ายใดนำวิชามารเหล่านั้นมาใช้
อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้จำต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อรักษาเก้าอี้ตัวนี้เอาไว้ให้จงได้ เพราะผลโพลที่ออกมาแทบทุกสำนักต่างระบุว่า ยังคงเป็นรองคู่แข่งอย่างพล.ต.อ.พงศพัศเหมือนเดิมอย่างไม่มีเปลี่ยนแปลง
ล่าสุดพรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดแคมเปญหาเสียงแบบใหม่มาชูเป็นจุดขาย เอาใจคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีด้วยการเปิดตัว แอพพลิเค ชั่น "Mayar" เพื่อให้คนที่สนใจสามารถเข้าดูนโยบายของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ง่ายๆ เพียงยกสมาร์ทโฟนสแกนภาพหน้าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายอภิรักษ์ โกษะโยธินและ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก็จะขึ้นคลิปวิดีโอที่เป็นสปอตโฆษณาตัวใหม่ของพรรค หรือหากสแกนไปที่ป้ายหาเสียงนโยบายใด ก็จะมีคลิปวิดีโอนโยบายนั้นๆ ปรากฏ โดย สปอตโฆษณานี้จะถูก เผยแพร่ตามฟรีทีวี เคเบิลทีวี วิทยุทุกคลื่น ป้ายโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ทั่ว กทม. รวมไปถึงเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ที่ได้รับความสนใจอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนปมปัญหาสำคัญที่ยังคงค้างคาใจคนกรุงเทพฯ คือเรื่องผลงาน 4 ปีของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่ยังแก้ไม่ตก ด้วยการผลิตป้ายหาเสียงโชว์ผลงานที่ทำสำเร็จแล้วใน 4 ปีที่ผ่านมาและนโยบายที่จะทำต่อถ้าหากได้รับการเลือกตั้งกลับมาอีกครั้ง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ก็ต้องบอกว่า ไม่ประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่น การประกาศหาเสียงด้วยการสร้างอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำเพิ่มเติม ทั้งๆ ที่คนกรุงเทพฯ ก็ประจักษ์ด้วยสายตาของตนเองแล้วว่า มิได้ช่วยแก้ปัญหาได้สักกี่มากน้อยเหมือนที่คุยโวโอ้อวดเอาไว้
กระทั่งต้องงัดวิชาก้นหีบที่คนของพรรคถนัดมาตลอดชั่วชีวิตมาใช้อีกครั้ง นั่นก็คือ การหยิบยกเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับคนกรุงเทพฯ พร้อมทั้งวลีเด็ดมุกเก่าๆ อย่าง “ไม่เลือกเราเขามาแน่” ที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วในช่วงเลือกตั้ง ส.ส.กรุงเทพฯ กลับมาใช้ในช่วงโค้งสุดท้าย
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ผอ.ศูนย์อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ลงทุนแถลงข่าวย้ำยุทธศาสตร์ของตัวเองแบบไม่อายใครเลยว่า ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายพรรคจะเน้นนโยบายที่ทำสำเร็จแล้วใน 4 ปีที่ผ่านมา และนโยบายที่จะทำต่อ โดยจะเน้นเรื่อง กทม.เมืองแห่งความปลอดภัย ที่ สมาคมโรงแรมและกลุ่มผู้ค้าราชประสงค์จัดงานนี้ขึ้นจากการได้รับผลกระทบวิกฤติจากการชุมนุมทางการเมืองปี 2553
ทั้งนี้ นายองอาจแถลงข่าวอย่างหน้าชื่นตาบานว่า จากการรณรงค์หาเสียงพบว่าผลงานที่ประชาชนประทับใจคือ 1. กรณีที่ผู้ว่าฯ กทม.ได้ทำให้ กทม.เป็นเมืองน่าเที่ยวที่ดีที่สุดในโลก 3 ปีซ้อนในปี 53-55 2.กทม.ร่วมมือกับคนกรุงเทพฯ นับหมื่นคนในการบูรณะ กทม.จาก เหตุการณ์ชุมนุมปี 52-53 ที่มีการเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งมีการระดมอาสาสมัครช่วยกันบูรณะ กทม. 3. การที่ผู้ว่าฯ กทม.แสดงภาวะผู้นำไม่ให้น้ำท่วม กทม.เต็มพื้นที่ทั้งหมดเพราะจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อ กทม.เนื่องจากจะท่วมพื้นที่เศรษฐกิจจนเกิดปัญหา
“พรรคได้ทำสปอตประชาสัมพันธ์ผลงานความตั้งใจทำงานอีก 4 ปีข้างหน้าของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ผ่าน 5 ช่องทางคือ 1. ทีวี 2. วิทยุ 3.จอแอลอีดีเกือบทุกจุดทั่ว กทม. 4.โรงภาพยนตร์ และ 5.โซเชียลมีเดีย โดยจะมี 2 รูปแบบเป็นภาพตึกถูกไฟไหม้ย่านเศรษฐกิจของ กทม."นายองอาจ กล่าว
นั่นแสดงให้เห็นว่า ถึงที่สุดแล้วพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ก็หนีไม่พ้นต้องขุดวิชาก้นหีบที่ตนเองถนัดมาเล่นงานฝ่ายตรงข้ามเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับสปอตโฆษณาดังกล่าวมีจุดน่าสนใจคือมีภาพน้ำท่วม สลับกับภาพตึกที่ได้รับความเสียหายหลังจากที่มี เหตุการณ์สลายการชุมนุมในปี 2553 ซึ่งเป็นที่มาของวลี "เผาบ้านเผาเมือง" ซึ่งเป็นวิชาก้นหีบของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะเดียวกันเมื่อดูเนื้อหาต่างๆด้วยแล้วก็ไปสอดคล้องกับเนื้อหาที่แกนนำพรรคขึ้นปราศรัยบนเวทีหาเสียงในเกือบทุกเวที ที่จะมีเนื้อหากล่าวโยงไปถึงการเผาบ้านเผาเมืองเป็นส่วนใหญ่
แน่นอน เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อย้ำแผลในใจของคน กทม.อีกครั้ง เพื่อให้ไปกระทบชิ่งไปยังผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย เพื่อให้คน กทม.ที่รู้สึกเจ็บปวดจากเหตุการณ์ดังกล่าวลงคะแนนให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการเล่มเกมการเมืองที่ยากยิ่งที่พรรคการเมืองใดจะสามารถทำได้นอกจากพรรคเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์
ไม่เว้นแต่ในทางจิตวิทยาที่ส่ง นายบุญเลิศ ไพรินทร์ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดฉะเชิงเทรา (ส.ส.) พรรคประชาธิปัตย์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดฉะเชิงเทรา (ส.ว.) หรือ ฉายาโหร ส.ว.ให้ออกแรงมาทำนายว่า การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 10 ที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2556 นี้ ได้เอาดวงของผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ ที่โดดเด่นรวม 3 คน ประกอบด้วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พล.ต.อ.พงศพัศ และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดยเมื่อใช้หลักเลขศาสตร์สากล (ศาสตร์แห่งตัวเลข) ทำนายแล้ว ผู้ที่จะได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนต่อไป คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะวัน เดือน ปี และ ค.ศ.เกิด ตรงกับวันเลือกตั้ง คือ เลข 3 มีอยู่เพียงคนเดียวจะได้รับชัยชนะ
หนักไปกว่านั้นก็คือเริ่มมีวิชามาร สาดโคลน เล่นเกมใต้ดินกันอย่างหนักข้อเลยทีเดียว เพราะปรากฏว่ามีมือมืด นำภาพคนดังอาทิ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ,ณเดช คูกิมิยะ ,บัวขาว ป.ประมุข หรือนายบัญชา อ่อนเมฆ ไปตัดต่อและเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ ให้คนทั่วไปเข้าใจว่าพวกเขาได้สนับสนุนผู้สมัครเบอร์ 9 คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จนพี่เบิร์ดต้องใช้เฟซบุ๊ก Bird Thongchai โพสต์ข้อความเตือนว่า "ช่วงนี้ถ้าใครเห็นรูปพี่เบิร์ดไปเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนตัวบุคคลที่เข้ามาชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ขอให้ทราบกันว่าเป็นภาพตัดต่อลงไปบนโทรศัพท์มือถือ พี่เบิร์ดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนบุคคลใดๆทั้งสิ้นครับ ขอบคุณครับ"
นอกจากนั้นยังมีภาพของ "ณเดชน์ คูกิมิยะ" ดารานักแสดงชื่อดังทางช่อง 3 และ "บัวขาว บัญชาเมฆ" หรือ "บัวขาว ดอทคอม" นำไปตัดต่อในลักษณะเดียวกันด้วย โดยเพจ "คนละหมัด เดอะซีรี่ย์" โพสต์ข้อความ ระบุว่า หลังจากภาพตัดต่อดารา ของ "ณเดชน์" และ "เบิร์ด-ธงไชย" ที่ถูกมือดีตัดต่อให้ถือ "สัญลักษณ์" ของผู้สมัครเลือกตั้ง เบอร์ 9 ซึ่งถูกเผยแพร่ในวันเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดในส่วนของบัวขาว สามารถจับได้แล้วว่า ใครเป็นคนทำ โดยพบว่า เว็บไซต์เฟซบุ๊ก "เสื้อแดงคลับ Red club" ที่มีโลโก้ นปช. เป็นผู้ทำ โดยมีข้อความเชิญชวนชัดเจนว่า "นักชกบัวขาวก็ยังเชียร์ เบอร์ 9 อิอิ ^__^"
และไม่ทันขาดคำทันที นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และ กกต.กทม. ติดตามตรวจสอบกรณีมีผู้ตัดต่อภาพถ่ายดาราอาทิ "เบิร์ด ธงไชย", "ณเดชน์ คูกิมิยะ" และ "บัวขาว ป.ประมุข" โดยมีการนำหมายเลข และภาพถ่ายผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 9 มาตัดต่อติดอยู่กับภาพดาราดังกล่าว ทำให้เข้าใจผิดว่าบุคคลเหล่านั้น สนับสนุนผู้สมัครคนดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ประชาชนหลงเชื่อ และลงคะแนนให้ได้ จึงถือว่าส่อผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่นอย่างชัดเจน เนื่องจากมีภาพและเบอร์ผู้สมัครชัดเจน ถือเป็นการโกหกประชาชนให้เกิดความเชื่อ เพราะบุคคลเหล่านี้มีแฟนคลับมากเป็นพิเศษ
เรียกว่าพอได้ประโยชน์ทางการเมืองก็กระโดดงับเหยื่อในทันที กระทั่งหลงลืมไปว่าก่อนหน้านี้ ฝั่งตนเองก็เคยได้ประโยชน์จากเกมใต้ดินในลักษณะนี้คล้ายๆกัน ในกรณีที่มีผู้ตัดต่อภาพฉากรถหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ เป็นภาพเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเผยแพร่ในเครือข่ายออนไลน์ โดยภาพดังกล่าวมีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังอยู่บนรถเคลื่อนที่หาเสียง พร้อมด้วยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นางปวีณา หงสกุล ยืนเรียงกันอยู่บนรถหาเสียง โดยภาพเบื้องหลังฉากดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์ความไม่สงบ ในช่วงการชุมนุมประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อ เม.ย. 2553 ที่ผ่านมา
แถมซ้ำร้ายล่าสุดยังมีข่าวการจับจับสติ๊กเกอร์ป้ายสีคู่แข่ง โดยร.ต.ท.นิติธร พิมพ์คำ รองสวป.สน.พหลโยธิน พร้อมชุดจู่โจมสน. พหลฯออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดพ.ร.บ. เลือกตั้ง ขณะตรวจพบนายหทัยวุฒิ สายทอง อายุ 45 ปี กำลังติดสติ๊กเกอร์สีขาว ตัวหนังสือสีแดง และน้ำเงิน ที่มีข้อความว่า 'เผาบ้าน เผาเมือง' และอีกข้อความหนึ่งคือ 'เราไม่ เลือกผู้ว่าฯสร้างภาพ' บริเวณป้ายหาเสียง ของพล.ต.อ.พงศพัศ บริเวณปากซอยลาดพร้าว 45 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง จึงเข้าตรวจสอบจากการตรวจค้นพบกระเป๋าสะพายสีดำ ภายในมีสติ๊กเกอร์ข้อความดังกล่าวอีกประมาณ 50 แผ่น
อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับสถานการณ์โดยรวมของผู้สมัครครั้งนี้ โพลสำนักต่างๆ ก็ยังคงมีผลออกมาไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เท่าใดนัก และแน่นอนว่า พรรคประชาธิปัตย์และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนเดิม แถมนับวันยิ่งสาละวันเตี้ยลงเหมือนเดิมทุกโค้งไม่เปลี่ยนแปลง
อาทิ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตเปิดเผยผลสำรวจคะแนนนิยมของ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 4 กรณีจะเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. พบว่าร้อยละ 46.69 พล.ต.อ.พงศพัศ เพราะมีความสุภาพ เป็นกันเอง ทำงานร่วมกับรัฐบาลได้ดี มีความตั้งใจในการทำงาน ชอบพรรคและร้อยละ 32.99 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
หรือจาก “เอแบคโพลล์” ซึ่งทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-18 ก.พ. คะแนนของ พล.ต.อ.พงศพัศ พุ่งขึ้นเป็น 46.6% จากเดิมโค้งที่ 3 ซึ่งอยู่ที่ 43.9% ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ คะแนนลดลงเหลือ 29.9% จากเดิม 37.6%
หรือจะเป็นศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พบว่า ร้อยละ 26.80 ระบุจะเลือกพล.ต.อ.พงศพัศ เป็นผู้ว่าฯ กทม. ร้อยละ 25.86 จะเลือกม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ร้อยละ 1.62 จะเลือกนายสุหฤท สยามวาลา ร้อยละ 0.67 จะเลือกนายโฆสิต สุวินิจจิต ขณะที่ร้อยละ 36.84 ยังไม่ตัดสินใจ และมีเพียงร้อยละ 3.30 ระบุว่าไม่ลงคะแนนเสียง
เรียกว่าโค้งไหนสนามไหนก็แพ้เรียบวุธหรือดีที่สุดก็แค่สูสีอยู่วันยังค่ำ
ทั้งนี้ เหตุที่ผลโพลออกมาในลักษณะนั้น แน่นอน มิใช่ว่าคนกรุงเทพฯ นิยมชมชอบพล.ต.อ.พงศพัศ มากเท่าใดนัก หรือลืมเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองไปจนหมดสิ้นแล้ว หากเป็นเพราะความเบื่อหน่ายที่มีต่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์มากกว่า ที่ไม่มีผลงานอะไรโดดเด่นตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังกล้าฝืนกระแสส่งมาลงสมัครด้วยเชื่อมั่นว่าจะใช้ยุทธศาสตร์ไม่เลือกเราเขามาแน่อย่างได้ผลอีกครั้ง
คล้ายดังที่ ดร.เสรี วงษ์มณฑาได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยระบุถึงศึกชิงผู้ว่าฯกทม.โดยฟันธงว่า พล.ต.อ.พงศพัศจากพรรคเพื่อไทย จะ คว้าชัย เป็นผู้ว่าฯคนที่ 16 เพราะชาวกทม.ต้องการสั่งสอนพรรคประชาธิปัตย์
"น่าโมโหประชาธิปัตย์จริงๆ เวลามีอำนาจไม่รู้จักทำผลงานเข้าตาประชาชน ไปทำอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้คนที่เกลียดทักษิณและเพื่อไทยมองว่าเลวไม่แพ้กัน จนทำให้คนเหล่านี้จะไม่ลงคะแนนให้เบอร์ 16 ขณะคนที่เกลียดทักษิณลงคะแนนกันกระจัดกระจายเพราะประชาธิปัตย์ไม่ดีพอสำหรับคนบางกลุ่ม แต่คนที่รักทักษิณเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เลือกเบอร์ 9 แน่ๆ เราก็คงได้พงศพัศเป็นผู้ว่า กทม. สมใจคนที่รักทักษิณ ส่วนคนที่เกลียดทักษิณและเชื่อว่าประชาธิปัตย์ก็ชั่วพอกัน ก็คงได้สะใจที่ได้ให้บทเรียนประชาธิปัตย์และไม่ยอมให้ประชาธิปัตย์ตีกิน แล้วเราทุกคนก็จะต้องนั่งดูทักษิณสั่งการผู้ว่าฯ กทม. ไป 4 ปี คนชอบประชานิยมคงมีความสุข แต่ใครจะทุกข์บ้างก็ทนกันๆไปเถอะนะ ประชาธิปัตย์สร้างปรากฏการณ์นี้ขึ้นมาเอง ทำให้คนผิดหวังจนอยากสั่งสอน ส่วนผลการสั่งสอนประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องเก็บมาคิด"ดร.เสรี ระบุ
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องทำทุกทางที่จะปลุกพลังเงียบที่มีแนวโน้มว่าจะไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ให้ออกมาใช้สิทธิ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เอาเพื่อไทย แม้จะไม่อยากได้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มาเป็นผู้ว่าฯ กทม. สมัยที่ 2 แต่ก็ต้องยอมฝืนใจเลือกเชิงยุทธศาสตร์ให้ประชาธิปัตย์เข้ามาทำหน้าที่ถ่วงดุลในที่สุด ก่อนจะปล่อยหมัดต่อเนื่องด้วยการปลุกผีทักษิณ ขึ้นมาเรียกคะแนนให้ตัวเอง เพราะอย่าลืมว่าฐานเสียงคนกรุงส่วนหนึ่งเป็นคนที่ไม่เอาระบอบทักษิณซึ่งเคยออกมาชุมนุมต่อต้านยาวนาน ครั้งนี้จึงจำเป็นต้องกลับใช้สูตรเดิมในทำนอง ไม่เลือกเราเขามาแน่ แต่ที่สุดแล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเอาเสียเลยเมื่อดูจากกระแสต่างๆหรือกระทั่งผลโพลก็ตามที เรียกว่าไร้วี่แววสดใสของพรรคประชาธิปัตย์เสียเหลือเกิน ซึ่งเรื่องนี้บรรดาแกนนำก็รับรู้ถึงอาการเสียวสันหลังอันนี้เป็นอย่างดี
แน่นอนการที่คนกรุงส่วนใหญ่ไม่เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไม่ได้หมายความว่า คนส่วนมากสนับสนุนให้แก๊งเผาเมืองและพรรคเพื่อไทย ยึดประเทศไทยเบ็ดเสร็จ แต่หมายความว่า คนกรุงปรารถนาที่จะให้บทเรียนพรรคประชาธิปัตย์ที่เลือกผู้สมัครผิดพลาด ไม่ยอมฟังเสียงสะท้อนจากภายนอก และสั่งสอน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ผู้ประเมินความสามารถในการบริหารงานของตัวเองสูงเกินกว่าความเป็นจริง
พรรคประชาธิปัตย์ต้องยอมรับว่า นี่คือปมปัญหาที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นคนทำให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าวขึ้นมาด้วยตนเอง
และความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ผู้ที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงกรรมการบริหารพรรค ที่สมควรอย่างยิ่งจะต้องลาออกจากตำแหน่งในฉับพลันทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้เกิดคลื่นใต้น้ำหรือแรงกระเพื่อมภายในพรรค
กระนั้นก็ดี ใช่ว่าจะไม่มีทางออกเสียทีเดียว เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์จะกล้าพอที่จะทำหรือไม่ เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์จะกล้าพอที่จะแสดงความเสียสละเพื่อมิใช้เสียงแตก ซึ่งจะส่งผลทำให้พรรคเผาบ้านเผาเมืองยึดเมืองหลวงกินรวบประเทศไทยอย่างไร้รอยต่อได้สำเร็จ
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์กล้าพอและกล้าที่จะเสียสละ พรรคประชาธิปัตย์โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ด้วยการประกาศถอนตัวจากการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้โดยเร่งด่วน แล้วหันไปสนับสนุนผู้สมัครอิสระคนอื่นๆอีกหลายคนที่พรรคประชาธิปัตย์คิดว่า เป็นคนดี คนเก่ง คนกล้า ที่มีคุณสมบัติพอที่จะชนะ พล.ต.อ.พงศพัศ เช่น นายสุหฤท สยามวาลา เป็นต้น
เพราะมีตัวเลขการสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ระบุเอาไว้ชัดเจนในข้อที่ว่าคนที่เคยนับถือม.ร.ว.สุขุมพันธ์ 1 ใน 3 กำลังจะตีตัวออกห่าง โดยพิจารณาพฤติกรรมการเลือกตั้งโดยรวมของคนที่เคยไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งที่แล้ว พร้อมที้งมีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ คนที่เคยเลือกม.ร.ว.สุขุมพันธ์ครั้งที่แล้วที่ยังคงยืนหยัดที่จะเลือกม.ร.ว.สุขุมพันธ์ต่อไปมีประมาณ 2 ใน 3 (หรือร้อยละ 66.4) ในขณะที่ประมาณ 1 ใน 3 (ร้อยละ 33.6) ตั้งใจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจไปเลือกคนอื่น โดยคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เกินกว่าครึ่ง (คือร้อยละ 22.0 จากร้อยละ 33.6) ตั้งใจจะไปเลือกพล.ต.อ.พงศพัศแทน
จากตัวเลขการสำรวจดังกล่าวหมายความว่า ถ้า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ถอนตัว และหันไปประกาศสนับสนุนผู้สมัครอิสระก็จะทำให้เสียงที่เคยแตกเพราะรับไม่ได้กับพรรคประชาธิปัตย์และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะกลับมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนและมีสิทธิที่จะชนะศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในครั้งนี้ได้
นั่นคือหนทางเดียวที่จะหยุดพรรคเผาบ้านเผาเมืองกินรวบประเทศไทยอย่างไร้รอยต่อได้
ปัญหามีอยู่ว่า พรรคประชาธิปัตย์กล้าพอหรือไม่
ปัญหามีอยู่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล้าพอที่จะเสียสละหรือไม่
ถ้าไม่กล้า พรรคประชาธิปัตย์ก็จะยังคงเป็นพรรคแมลงสาบต่อไปในสายตาคนกรุงเทพฯ และคนไทยทั้งประเทศ
สุดท้ายเรื่องนี้พระเอกตลอดกาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้