ASTVผู้จัดการรายวัน – สรรพสามิตตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์รถคันแรก ประสานงานลีสซิ่งจับตาหนี้เอ็นพีแอลผู้ซื้อรถที่ขาดส่งค่างวดก่อนส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลางดำเนินการทางคดี ระบุหลังโครงการครบ 1 ปี ตั้งแต่ 16 ก.ย.มียอดยึดรถส่งเข้ามาแล้วประมาณ 10 คัน
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อประสานงานกับบริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งที่ปล่อยกู้ให้กับผู้ซื้อรถในโครงการรถคันแรกเพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์การผ่อนชำระค่างวดที่อาจมีผู้เข้าร่วมโครงการประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดได้ตามปกติและถูกยึดรถเพื่อให้กรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการเรียกคืนเงินภาษีจากผู้เข้าร่วมโครงการได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย
“กรมสรรพสามิตได้ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลโครงการรถคันแรกให้ตั้งเป็นศูนย์ติดตามเฝ้าระวังในโครงการรถยนต์คันแรก เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาหากเกิดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้จะได้ประสานงานกับกรมบัญชีกลางเพื่อเรียกเงินคืนให้กับรัฐบาลได้” นายสมชายกล่าว
นายจุมพล ริมสาคร รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ครบรอบ 1 ปีของโครงการรถคันแรกในวันที่ 1 กันยายน 2555 ที่ผ่านมาได้เริ่มมีการคืนเงินผู้ซื้อรถที่เข้าร่วมโครงการนั้น บริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งที่เข้าร่วมโครงการได้แจ้งยอดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากการขาดส่งค่างวดเกิน 3 เดือนเข้ามาแล้วประมาณ 10 กว่าราย ซึ่งกระบวนการต่อไปทางกรมสรรพสามิตจะตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อนประสานงานกับกรมบัญชีกลางเพื่อเรียกเงินคืนต่อไป
ในขณะเดียวกันศูนย์ติดตามเฝ้าระวังโครงการรถคันแรกก็ได้ประสานงานกับบริษัทลีสซิ่งมาอย่างต่อเนื่องเพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการหรือลูกค้าของลีสซิ่งที่มีความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดได้จริง ถือเป็นการสกรีนลูกค้าในเบื้องต้นก่อนให้เข้าร่วมโครงการ โดยเท่าที่มีรายงานเข้ามานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรถคันแรกมีหนี้เสียเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% โดยคาดว่าโครงการรถคันแรกอาจมีหนี้เสียอยู่บ้างแต่คงไม่เท่ากับกลุ่มลูกค้าปกติของลีสซิ่งที่ซ้อรถในราคาที่สูงกว่าโครงการรถคันแรก
“ขั้นตอนในการติดตามเรียกคืนเงินภาษีนั้นศูนย์ติดตามเฝ้าระวังรถคันแรกของกรมสรรพสามิตเมื่อได้รับแจ้งจากลีสซิ่งแล้วจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าของรถที่เข้าร่วมโครงการก่อน 2 ครั้ง หากไม่ติดต่อกลับมาเพื่อคืนเงินภาษีก็จะส่งเรื่องไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อประสานงานร่วมกับอัยการเพื่อทำสำนวนคดีสำหรับฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนต่อไป” นายจุมพลกล่าว.
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อประสานงานกับบริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งที่ปล่อยกู้ให้กับผู้ซื้อรถในโครงการรถคันแรกเพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์การผ่อนชำระค่างวดที่อาจมีผู้เข้าร่วมโครงการประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดได้ตามปกติและถูกยึดรถเพื่อให้กรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการเรียกคืนเงินภาษีจากผู้เข้าร่วมโครงการได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย
“กรมสรรพสามิตได้ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลโครงการรถคันแรกให้ตั้งเป็นศูนย์ติดตามเฝ้าระวังในโครงการรถยนต์คันแรก เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาหากเกิดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้จะได้ประสานงานกับกรมบัญชีกลางเพื่อเรียกเงินคืนให้กับรัฐบาลได้” นายสมชายกล่าว
นายจุมพล ริมสาคร รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ครบรอบ 1 ปีของโครงการรถคันแรกในวันที่ 1 กันยายน 2555 ที่ผ่านมาได้เริ่มมีการคืนเงินผู้ซื้อรถที่เข้าร่วมโครงการนั้น บริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งที่เข้าร่วมโครงการได้แจ้งยอดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากการขาดส่งค่างวดเกิน 3 เดือนเข้ามาแล้วประมาณ 10 กว่าราย ซึ่งกระบวนการต่อไปทางกรมสรรพสามิตจะตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อนประสานงานกับกรมบัญชีกลางเพื่อเรียกเงินคืนต่อไป
ในขณะเดียวกันศูนย์ติดตามเฝ้าระวังโครงการรถคันแรกก็ได้ประสานงานกับบริษัทลีสซิ่งมาอย่างต่อเนื่องเพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการหรือลูกค้าของลีสซิ่งที่มีความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดได้จริง ถือเป็นการสกรีนลูกค้าในเบื้องต้นก่อนให้เข้าร่วมโครงการ โดยเท่าที่มีรายงานเข้ามานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรถคันแรกมีหนี้เสียเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% โดยคาดว่าโครงการรถคันแรกอาจมีหนี้เสียอยู่บ้างแต่คงไม่เท่ากับกลุ่มลูกค้าปกติของลีสซิ่งที่ซ้อรถในราคาที่สูงกว่าโครงการรถคันแรก
“ขั้นตอนในการติดตามเรียกคืนเงินภาษีนั้นศูนย์ติดตามเฝ้าระวังรถคันแรกของกรมสรรพสามิตเมื่อได้รับแจ้งจากลีสซิ่งแล้วจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าของรถที่เข้าร่วมโครงการก่อน 2 ครั้ง หากไม่ติดต่อกลับมาเพื่อคืนเงินภาษีก็จะส่งเรื่องไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อประสานงานร่วมกับอัยการเพื่อทำสำนวนคดีสำหรับฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนต่อไป” นายจุมพลกล่าว.