วานนี้(11ก.พ.56) นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกำลังศึกษาความคุ้มค่าในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 หลังจากก่อนหน้านี้มีการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ซึ่งพบว่าต้องใช้เงินลงทุนหลายหมื่นล้านบาทในการสร้างอาคาร และสาธารณูปโภคเพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่งาน ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่าจะคุ้มการลงทุนหรือไม่ โครงการดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้กับประเทศได้เท่าไร หากไม่คุ้มทุนก็ไม่ควรทำ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกตกใจที่ได้ข่าวว่านายนิวัฒนธำรงค์ ออกมาระบุว่า จะทบทวนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิล์ดเอ็กซ์โปร เพราะคณะกรรมการตัดสินในเรื่องนี้มีความประทับใจในศักยภาพของประเทศไทยและพื้นที่จังหวัดอยุธยาที่จะใช้จัดงานแต่ฝ่ายนโยบายกลับบอกว่าจะทบทวน ตนคิดว่ากระทบโอกาสของเราอย่างมาก เพราะขั้นตอนนี้ควรจะเป็นการหาเสียงแล้ว และตัวเลขต่าง ๆ ที่อ้างว่าไม่คุ้มทุนนั้นหน่วยงานราชการทำเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ว่าคนที่มาจะมาเท่าไหร่ รายได้เป็นอย่างไร ต้องมีการลงทุนเท่าไหร่ และหากมีการพัฒนาต่อเนื่องทุกอย่างย่อมไม่สูญเปล่า หากรัฐบาลคิดแต่เพียงว่าต้องเสียเงินแล้วสองล้านล้านบาทที่จะกู้มาคุ้มหรือ กรณีนี้สิ่งที่จะลงทุนก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะพัฒนาต่อไป และยังมีการวางแผนไว้เป็นอย่างดีที่จะใช้ประโยชน์ในพื้นที่ด้วย อยู่ดี ๆ จะตัดสินใจว่าไม่คุ้มนั้นเป็นเรื่องที่แปลกมาก จึงคิดว่าน่าจะมีความจงใจที่จะไม่ให้ไทยเป็นเจ้าภาพมากกว่า เหมือนเป็นการบอกเจตนาว่าไม่อยากเป็นเจ้าภาพแล้วเท่านั้นเอง
ส่วนจะเป็นการเจตนาหลักทางให้ดูไบที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพด้วยหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็ไม่ทราบว่ารัฐบาลต้องการหลีกให้ใครหรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นรู้สึกเห็นใจคนที่ทำงานเรื่องนี้มาอย่างเหนื่อยยาก หากจะทบทวนหรือสงสัยอะไรก็ควรทำเป็นการภายในการออกมาพูดเช่นนี้กระทบโอกาสประเทศแน่นอนใครจะมาสนับสนุนเราหากรัฐบาลยังไม่มั่นใจในตนเอง และไม่ทราบว่านายนิวัฒน์ธำรงค์จะทบทวนท่าทีของตัวเองหรือไม่ เพราะถ้าไม่ทบทวนโอกาสของไทยก็คงยากแล้วถือเป็นการปิดฉากการเป็นเจ้าภาพไปเลย ซึ่งจะกระทบโอกาสประเทศมาก เพราะจะมีคนหลายสิบล้านคนมาเที่ยวงานเป็นรายได้ของประเทศและการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศด้วย และการจัดงานนี้ไม่ใช่แค่อีเวนท์แล้วผ่านไปแต่จะนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่ต่อเนื่อง จ.อยุธยาจะมีระบบขนส่งมวลชนไปถึงและเดิมตามแผนจะมีการสร้างให้เป็นอุทยานแห่งการเรียนรู้โครงการตามแนวพระราชดำริ ซึ่งจะเป็นโอกาสดีมากที่จะทำให้ชาวไทยและชาวโลกมีสถานที่ในลักษณะนี้
สำหรับการทบทวนเรื่องนี้เป็นเพราะเป็นผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้วหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะแม้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านก็ยังสนับสนุนให้ข้อมูลเต็มที่ ทำให้ต่างชาติยังงงว่าทำไมทุกฝ่ายในสังคมพยายามสนับสนุนแต่รัฐบาลกลับตั้งคำถามกับตัวเอง จึงไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นความใจแคบหรือมีเจตนาไปจะหลีกทางให้ใครหรือไม่ แต่มองไม่เห็นเหตุผลว่ามาถึงขั้นนี้แล้วทำไมไม่เดินหน้าในการขอเสียงสนับสนุนในการจัดงาน
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ตัวแทนของคณะกรรมการงานมหกรรมโลก (บีไออี) ได้เดินทางเข้าพบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอรับทราบการเตรียมความพร้อมของไทยที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โปในปี 2563 หลังบีไออีได้เดินทางมาลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับคัดเลือกให้จัดงาน และได้แสดงความประทับใจกับเมืองดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นเมืองมรดกโลกที่มีความสำคัญ แต่จากการเข้าหารือกับนายกฯ กลับไม่ได้รับการยืนยันที่ชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะผลักดันเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังหรือไม่
“บีไออีคงทราบแล้วว่าไทยคงถอดใจเรื่องนี้ เพราะนายกฯเองก็ไม่ได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่า จะผลักดันเรื่องนี้ เพียงแต่แสดงความยินดีในการมาเยือนเท่านั้น ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาโดยอ้อมว่ารัฐบาลจะไม่ผลักดันเรื่องนี้แล้ว ทั้งๆที่น่าจะบอกว่าไทยเตรียมพร้อมอะไรบ้าง ขณะเดียวกันความคืบของโครงการก็ยังหยุดนิ่งเพียงแค่เลือก พระนครศรีอยุธยาเป็นที่จัดงานเท่านั้น ส่วนความพร้อมด้านอื่น เช่น งานประชาสัมพันธ์ การเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน ที่พัก และแผนการพัฒนาเมืองหลังจากจัดงานเสร็จ ก็ยังไม่มีแผนออกมาว่าเป็นอย่างไร จึงเชื่อว่า ในช่วงเดือนพฤษจิกายน 2556นี้ ที่บีไออีจะตัดสินคัดเลือกเมืองให้จัดงาน ไทยคงทำรายละเอียดไม่ทันและไม่สามารถส่งชื่อเข้าชิงเป็นเจ้าภาพได้ หรือถ้าส่งเข้าชิงก็คงไม่ได้รับคัดเลือกอยู่ดี”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์เอ็กซ์โปนั้น เริ่มต้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ซึ่งได้ไปประกาศที่งานเวิลล์เอ็กซ์โป เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ว่า ประเทศไทยจะเข้าร่วมการประมูลเพื่อเป็นผู้จัดงานเวิร์ล เอ็กซ์โปในปี 2563 โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง สสปน. กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คมนาคม มหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ร่วมกันทำงานเพื่อคัดเลือกสถานที่ จนได้ จ. พระนครศรีอยุธยาเป็นสถานที่จัดงาน และเสนอครม.เพื่อเห็นชอบแล้ว โดยครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศ เป็นหน่วยงานกลางในการทำเคมเปญ ประชาสัมพันธ์ และการดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยชนะการประมูลเพื่อเป็นเจ้าภาพ มีงบประมาณในการดำเนินการจำนวน 300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหลังการลาออกของนายอรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการสสปน. และมีการแต่งตั้งนายธงชัย ศรีมาดา ขึ้นมารักษาการแทนก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ อีกทั้งยังดึงงานทำเคมเปญไปดำเนินการเพียงหน่วยงานเดียว ทำให้ไม่มีความคืบหน้า
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกตกใจที่ได้ข่าวว่านายนิวัฒนธำรงค์ ออกมาระบุว่า จะทบทวนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิล์ดเอ็กซ์โปร เพราะคณะกรรมการตัดสินในเรื่องนี้มีความประทับใจในศักยภาพของประเทศไทยและพื้นที่จังหวัดอยุธยาที่จะใช้จัดงานแต่ฝ่ายนโยบายกลับบอกว่าจะทบทวน ตนคิดว่ากระทบโอกาสของเราอย่างมาก เพราะขั้นตอนนี้ควรจะเป็นการหาเสียงแล้ว และตัวเลขต่าง ๆ ที่อ้างว่าไม่คุ้มทุนนั้นหน่วยงานราชการทำเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ว่าคนที่มาจะมาเท่าไหร่ รายได้เป็นอย่างไร ต้องมีการลงทุนเท่าไหร่ และหากมีการพัฒนาต่อเนื่องทุกอย่างย่อมไม่สูญเปล่า หากรัฐบาลคิดแต่เพียงว่าต้องเสียเงินแล้วสองล้านล้านบาทที่จะกู้มาคุ้มหรือ กรณีนี้สิ่งที่จะลงทุนก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะพัฒนาต่อไป และยังมีการวางแผนไว้เป็นอย่างดีที่จะใช้ประโยชน์ในพื้นที่ด้วย อยู่ดี ๆ จะตัดสินใจว่าไม่คุ้มนั้นเป็นเรื่องที่แปลกมาก จึงคิดว่าน่าจะมีความจงใจที่จะไม่ให้ไทยเป็นเจ้าภาพมากกว่า เหมือนเป็นการบอกเจตนาว่าไม่อยากเป็นเจ้าภาพแล้วเท่านั้นเอง
ส่วนจะเป็นการเจตนาหลักทางให้ดูไบที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพด้วยหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็ไม่ทราบว่ารัฐบาลต้องการหลีกให้ใครหรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นรู้สึกเห็นใจคนที่ทำงานเรื่องนี้มาอย่างเหนื่อยยาก หากจะทบทวนหรือสงสัยอะไรก็ควรทำเป็นการภายในการออกมาพูดเช่นนี้กระทบโอกาสประเทศแน่นอนใครจะมาสนับสนุนเราหากรัฐบาลยังไม่มั่นใจในตนเอง และไม่ทราบว่านายนิวัฒน์ธำรงค์จะทบทวนท่าทีของตัวเองหรือไม่ เพราะถ้าไม่ทบทวนโอกาสของไทยก็คงยากแล้วถือเป็นการปิดฉากการเป็นเจ้าภาพไปเลย ซึ่งจะกระทบโอกาสประเทศมาก เพราะจะมีคนหลายสิบล้านคนมาเที่ยวงานเป็นรายได้ของประเทศและการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศด้วย และการจัดงานนี้ไม่ใช่แค่อีเวนท์แล้วผ่านไปแต่จะนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่ต่อเนื่อง จ.อยุธยาจะมีระบบขนส่งมวลชนไปถึงและเดิมตามแผนจะมีการสร้างให้เป็นอุทยานแห่งการเรียนรู้โครงการตามแนวพระราชดำริ ซึ่งจะเป็นโอกาสดีมากที่จะทำให้ชาวไทยและชาวโลกมีสถานที่ในลักษณะนี้
สำหรับการทบทวนเรื่องนี้เป็นเพราะเป็นผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้วหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะแม้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านก็ยังสนับสนุนให้ข้อมูลเต็มที่ ทำให้ต่างชาติยังงงว่าทำไมทุกฝ่ายในสังคมพยายามสนับสนุนแต่รัฐบาลกลับตั้งคำถามกับตัวเอง จึงไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นความใจแคบหรือมีเจตนาไปจะหลีกทางให้ใครหรือไม่ แต่มองไม่เห็นเหตุผลว่ามาถึงขั้นนี้แล้วทำไมไม่เดินหน้าในการขอเสียงสนับสนุนในการจัดงาน
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ตัวแทนของคณะกรรมการงานมหกรรมโลก (บีไออี) ได้เดินทางเข้าพบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอรับทราบการเตรียมความพร้อมของไทยที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โปในปี 2563 หลังบีไออีได้เดินทางมาลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับคัดเลือกให้จัดงาน และได้แสดงความประทับใจกับเมืองดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นเมืองมรดกโลกที่มีความสำคัญ แต่จากการเข้าหารือกับนายกฯ กลับไม่ได้รับการยืนยันที่ชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะผลักดันเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังหรือไม่
“บีไออีคงทราบแล้วว่าไทยคงถอดใจเรื่องนี้ เพราะนายกฯเองก็ไม่ได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่า จะผลักดันเรื่องนี้ เพียงแต่แสดงความยินดีในการมาเยือนเท่านั้น ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาโดยอ้อมว่ารัฐบาลจะไม่ผลักดันเรื่องนี้แล้ว ทั้งๆที่น่าจะบอกว่าไทยเตรียมพร้อมอะไรบ้าง ขณะเดียวกันความคืบของโครงการก็ยังหยุดนิ่งเพียงแค่เลือก พระนครศรีอยุธยาเป็นที่จัดงานเท่านั้น ส่วนความพร้อมด้านอื่น เช่น งานประชาสัมพันธ์ การเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน ที่พัก และแผนการพัฒนาเมืองหลังจากจัดงานเสร็จ ก็ยังไม่มีแผนออกมาว่าเป็นอย่างไร จึงเชื่อว่า ในช่วงเดือนพฤษจิกายน 2556นี้ ที่บีไออีจะตัดสินคัดเลือกเมืองให้จัดงาน ไทยคงทำรายละเอียดไม่ทันและไม่สามารถส่งชื่อเข้าชิงเป็นเจ้าภาพได้ หรือถ้าส่งเข้าชิงก็คงไม่ได้รับคัดเลือกอยู่ดี”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์เอ็กซ์โปนั้น เริ่มต้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ซึ่งได้ไปประกาศที่งานเวิลล์เอ็กซ์โป เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ว่า ประเทศไทยจะเข้าร่วมการประมูลเพื่อเป็นผู้จัดงานเวิร์ล เอ็กซ์โปในปี 2563 โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง สสปน. กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คมนาคม มหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ร่วมกันทำงานเพื่อคัดเลือกสถานที่ จนได้ จ. พระนครศรีอยุธยาเป็นสถานที่จัดงาน และเสนอครม.เพื่อเห็นชอบแล้ว โดยครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศ เป็นหน่วยงานกลางในการทำเคมเปญ ประชาสัมพันธ์ และการดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยชนะการประมูลเพื่อเป็นเจ้าภาพ มีงบประมาณในการดำเนินการจำนวน 300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหลังการลาออกของนายอรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการสสปน. และมีการแต่งตั้งนายธงชัย ศรีมาดา ขึ้นมารักษาการแทนก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ อีกทั้งยังดึงงานทำเคมเปญไปดำเนินการเพียงหน่วยงานเดียว ทำให้ไม่มีความคืบหน้า