ASTVผู้จัดการรายวัน-"สุกำพล"ส่งรองปลัดแจงศึกคดีเขาพระวิหารรอบสอง หวังศาลโลกชี้ขาดแบบวิน-วิน ช่วยไทย-กัมพูชาไร้วิกฤติ ยันสมเด็จฯ ฮุนเซน แฉ ปชป. ไม่กระทบศาลโลกตัดสิน “ปึ้ง”ยอมรับปากไว พูดไทยแพ้คดี อ้างแค่วิเคราะห์ไปตามข้อกฎหมาย
วานนี้ (30 ม.ค.) ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้ชี้แจงข้อมูลและความเป็นมาของข้อพิพาทในคดีปราสาทพระวิหารให้นายทหารระดับสูงสังกัดกระทรวงกลาโหม และสื่อมวลชนได้ทำความเข้าใจ
โดยพล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า ในวันที่ 15-19 เม.ย.นี้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) หรือศาลโลก จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาชี้แจงด้วยวาจา ซึ่ง รมว.กลาโหม และเหล่าทัพได้มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อชี้แจงต่อศาลโลกแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนที่ศาลจะตัดสินในเดือนต.ค.-พ.ย.นี้ โดยหลักฐานที่ยื่นต่อศาลโลกนั้น จะเป็นเอกสาร ซึ่งไทยได้ใช้เอกสารยืนยัน และภาพถ่ายที่ยืนยันว่าไทยได้ปฏิบัติตามมติของศาลโลกเมื่อปี 2505 และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2505 ที่ได้ลากเส้นในพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร หรือ Vicinity รวมถึงการที่กัมพูชาละเมิดเอ็มโอยู 43 อีกทั้งเอ็มโอยู 43 ยังเป็นเครื่องยืนยันว่า การปักปันเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชายังไม่เสร็จสิ้น และอยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (เจบีซี)
ทั้งนี้ นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตกรุงเฮก ประจำกรุงเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะทีมทนายฝ่ายไทยร่วมกับที่ปรึกษากฎหมายต่างชาติ 3 คนจาก ฝรั่งเศส แคนนาดา ออสเตรเลีย จะทำหน้าที่ในการต่อสู้เรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมา นายวีรชัยได้เข้ามาชี้แจงรัฐบาลและเหล่าทัพในการต่อสู้ในศาลโลกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม มีความคาดหวังว่า คำตัดสินที่จะออกมา ไม่ให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีผลได้หรือผลเสีย เพื่อไม่ให้ 2 ชาติกระทบกระทั่งกันภายหลัง ทำให้ไทยและกัมพูชาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และไม่ทำให้เผชิญกับวิกฤติ ซึ่งหวังไว้ว่าศาลโลกจะตัดสินออกมาแบบวิน-วิน ต่อทั้งสองฝ่าย เพราะศาลโลกเองก็มีคำจำกัดความว่าการตัดสินเรื่องใดๆ ในโลกนี้ จะต้องทำให้เกิดสันติสุข ทั้งนี้ความสัมพันธ์สองชาติอยู่ในระดับที่ดี เพราะพล.อ.อ.สุกำพล ได้มีการโทรศัพท์พูดคุยกับ พล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา มาตลอด ยืนยันว่า จะทำเพื่อชาติและแผ่นดิน เพื่อความถูกต้องเป็นธรรม
**”เชียร์ “ปึ้ง”เป็นรมว.ต่างประเทศเจ๋งสุด
ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ นำแถลงการณ์ของสมเด็จฯ ฮุนเซน ออกมาตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์ ว่า ไม่ดีหรืออย่างไร เพราะการที่นายสุรพงษ์นำคำแถลงการณ์ออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการนำเสนอเท่านั้น และเป็นการพูดถึงว่าเรื่องเกิดขึ้นยุคไหน ซึ่งถือเป็นข้อเท็จจริงที่หนีไม่ออก ไม่เห็นมีอะไร อย่าไปคิดให้เกิดปัญหา ซึ่งเป็นการชี้แจงบนพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประเทศ ไม่มีทางที่ไทยและกัมพูชาจะมานั่งทะเลาะกัน วันนี้ไม่มี เพราะคนรู้ว่าในปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เป็นไปไม่ได้ที่จะมีปัญหา ตนต้องการให้สื่อมองเป็นเรื่องที่ดีบ้าง หากมองว่ามีปัญหาทั้งวันก็จะแย่
“การที่สมเด็จฯ ฮุนเซน ออกมาพูดในฐานะผู้นำประเทศ คงต้องคิดแล้วว่าพูดแล้วมีประโยชน์หรือไม่ หรือทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ ส่วนที่มองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชานั้น ผมคิดว่าทางกัมพูชาพยายามอธิบายให้รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เมื่อเขาถูกพาดพิงก็ขอพูดบ้าง ส่วนจะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับเรา เขาพูดจบไปนานแล้ว แต่สื่อนำมาพูดอยู่ทุกวัน อยากให้เลิกพูดเสียที” รมว.กลาโหมกล่าว
เมื่อถามว่านายสุรพงษ์ที่มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีของไทย แต่นำคำพูดตรงนี้มาขยายต่อ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า มันจบแล้ว ก็จบไป จะมารื้อฟื้นอยู่ทำไม มันมีประโยชน์อะไรบ้าง
เมื่อถามย้ำว่า เกรงหรือไม่ว่าศาลโลกจะหยิบประเด็นตรงนี้ขึ้นมาพิจารณา พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ไม่มี มันไม่เกี่ยวกับเรื่องการตัดสินของศาลโลก การที่กัมพูชาออกมาเปิดเผยเป็นเพียงต้องการให้รู้ว่าเรื่องราวที่พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเท่านั้น สื่อต้องแปลให้ดี ถ้ามันไม่ดี ผมไม่ยอม ไม่ต้องห่วง มันไม่มีอะไร กัมพูชาเพียงแต่พูดความจริงสมัยที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลและได้ดำเนินการเรื่องนี้ ส่วนท่าทีของรมว.ต่างประเทศคนปัจจุบันดีกว่าคนก่อนหน้า
เมื่อถามถึงกรณีนายกรัฐมนตรีจะหารือกับทางกัมพูชากรณีที่กัมพูชาล่วงล้ำเอ็มโอยูปี 43 สร้างที่พักอาศัยบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีออกมาระบุที่จะได้มีการพูดคุยร่วมกัน เรายืนยันว่าปกป้องอธิปไตยอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง เราพยายามดำเนินการให้เป็นไปตามที่เอ็มโอยู 43 กำหนดให้มากที่สุด ทั้งนี้ ไทยจะทำเพียงฝ่ายเดียวไมได้ แต่ต้องทำพร้อมกันทั้งคู่ที่จะมีลงนามร่วมกันกับกัมพูชา ถ้ามีการละเมิดก็จะต้องมีการพูดคุยกัน ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชาแล้ว ซึ่งก็ประท้วงไปมากกว่า 8-9 ครั้งแล้ว
***"ปึ้ง"รับปากไวพูดไทยแพ้คดีพระวิหาร
อีกด้านคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายแพทย์เหวง โตจิราการ ทำหน้าที่แทนประธานคณะกรรมาธิการ มีการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษากรณีศาลโลกจะมีการพิจารณาคำร้องของกัมพูชาเกี่ยวกับข้อพิพาทบริเวณปราสาทพระวิหารในเดือนเม.ย.2556 โดยเชิญนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ มาชี้แจง ซึ่งนายสุรพงษ์ได้ชี้แจงว่า ทีมทนายมีการเตรียมเนื้อหาในการสู้คดีไว้พร้อมแล้ว แต่บางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เพราะอาจกระทบกับรูปคดี โดยทีมทนายแบ่งออกเป็น 3 ทีม โดยมีที่ปรึกษาด้านข้อกฎหมายคือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ ทำหน้าที่กำกับดูแลอีกครั้ง โดยนายพงศ์เทพ จะพาทีมกฎหมายและสื่อมวลชนเดินทางไปพูดคุยกับทีมกฎหมายต่างประเทศที่ประเทศอังกฤษ ในช่วงต้นเดือนก.พ.นี้ ส่วนรายละเอียดและขั้นตอนของการต่อสู้ทางคดี ต้องรอให้ศาลอนุญาตก่อนจึงจะสามารถนำมาเปิดเผยได้
ส่วนกรณีก่อนหน้านี้ที่ตนออกมาระบุว่าประเทศไทยจะมีแต่เจ๊ากับเจ๊งนั้น ตนเป็นคนพูดตรง ก็วิเคราะห์ไปตามข้อกฎหมายใน 4 แนวทาง คือ ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ศาลมีคำสั่งพิพากษายืนตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ศาลตัดสินตามที่กัมพูชาร้องขอ และไทยอาจสูญเสียดินแดนบางส่วนไป ซึ่งส่วนตัวยอมรับว่าปากไวไปหน่อย แต่ยืนยันว่าประเทศไทยจะสู้อย่างเต็มที่ เพราะรู้ดีว่าคนไทยรักและหวงแหนทรัพย์สมบัติที่เป็นของประเทศไทย
ขณะที่นายสามารถ แก้วมีชัย คณะกรรมาธิการ ระบุว่า อยากให้ทุกฝ่ายมาร่วมมือกันเพื่อขอจัดเวทีสัมมนาใหญ่ในเดือนก.พ.นี้ โดยในเวทีสัมมนาจะมีการชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยจะนำข้อมูลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2505 มาชี้แจงให้ประชาชนได้รับรู้ ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการฯ เป็นห่วง ก็ไม่ใช่ในประเด็นของผลการตัดสิน แต่ห่วงในเรื่องของข้อมูลที่มีการนำออกมาเปิดเผยว่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมากน้อยเพียงใด
**ยันกัมพูชาปล่อยตัว “ราตรี” 1 ก.พ.นี้
นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวยืนยันว่า เรือนจำเปรย์ซอว์ของกัมพูชา จะมีการปล่อยตัว น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนพิธีถวายเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานญาติให้ไปรับ น.ส.ราตรี ในเวลา 09.00 น. โดยเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ จะเดินทางร่วมคณะไปด้วย จากนั้นจะพาคณะของ น.ส.ราตรี มาพักผ่อนที่สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย
รายงานข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศกัมพูชาในวันที่ 4 ก.พ.2556 โดยภารกิจสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะในการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ คือ การเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระวรราชบิดา ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 16.30 น.และสิ้นสุดในเวลา 18.30 น. ส่วนภารกิจอื่นๆ ได้แก่ การเข้าพบและหารือข้อราชการกับสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ซึ่งอยู่ระหว่างรอยืนยันกำหนดเวลาจากฝ่ายกัมพูชา
วานนี้ (30 ม.ค.) ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้ชี้แจงข้อมูลและความเป็นมาของข้อพิพาทในคดีปราสาทพระวิหารให้นายทหารระดับสูงสังกัดกระทรวงกลาโหม และสื่อมวลชนได้ทำความเข้าใจ
โดยพล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า ในวันที่ 15-19 เม.ย.นี้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) หรือศาลโลก จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาชี้แจงด้วยวาจา ซึ่ง รมว.กลาโหม และเหล่าทัพได้มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อชี้แจงต่อศาลโลกแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนที่ศาลจะตัดสินในเดือนต.ค.-พ.ย.นี้ โดยหลักฐานที่ยื่นต่อศาลโลกนั้น จะเป็นเอกสาร ซึ่งไทยได้ใช้เอกสารยืนยัน และภาพถ่ายที่ยืนยันว่าไทยได้ปฏิบัติตามมติของศาลโลกเมื่อปี 2505 และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2505 ที่ได้ลากเส้นในพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร หรือ Vicinity รวมถึงการที่กัมพูชาละเมิดเอ็มโอยู 43 อีกทั้งเอ็มโอยู 43 ยังเป็นเครื่องยืนยันว่า การปักปันเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชายังไม่เสร็จสิ้น และอยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (เจบีซี)
ทั้งนี้ นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตกรุงเฮก ประจำกรุงเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะทีมทนายฝ่ายไทยร่วมกับที่ปรึกษากฎหมายต่างชาติ 3 คนจาก ฝรั่งเศส แคนนาดา ออสเตรเลีย จะทำหน้าที่ในการต่อสู้เรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมา นายวีรชัยได้เข้ามาชี้แจงรัฐบาลและเหล่าทัพในการต่อสู้ในศาลโลกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม มีความคาดหวังว่า คำตัดสินที่จะออกมา ไม่ให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีผลได้หรือผลเสีย เพื่อไม่ให้ 2 ชาติกระทบกระทั่งกันภายหลัง ทำให้ไทยและกัมพูชาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และไม่ทำให้เผชิญกับวิกฤติ ซึ่งหวังไว้ว่าศาลโลกจะตัดสินออกมาแบบวิน-วิน ต่อทั้งสองฝ่าย เพราะศาลโลกเองก็มีคำจำกัดความว่าการตัดสินเรื่องใดๆ ในโลกนี้ จะต้องทำให้เกิดสันติสุข ทั้งนี้ความสัมพันธ์สองชาติอยู่ในระดับที่ดี เพราะพล.อ.อ.สุกำพล ได้มีการโทรศัพท์พูดคุยกับ พล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา มาตลอด ยืนยันว่า จะทำเพื่อชาติและแผ่นดิน เพื่อความถูกต้องเป็นธรรม
**”เชียร์ “ปึ้ง”เป็นรมว.ต่างประเทศเจ๋งสุด
ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ นำแถลงการณ์ของสมเด็จฯ ฮุนเซน ออกมาตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์ ว่า ไม่ดีหรืออย่างไร เพราะการที่นายสุรพงษ์นำคำแถลงการณ์ออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการนำเสนอเท่านั้น และเป็นการพูดถึงว่าเรื่องเกิดขึ้นยุคไหน ซึ่งถือเป็นข้อเท็จจริงที่หนีไม่ออก ไม่เห็นมีอะไร อย่าไปคิดให้เกิดปัญหา ซึ่งเป็นการชี้แจงบนพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประเทศ ไม่มีทางที่ไทยและกัมพูชาจะมานั่งทะเลาะกัน วันนี้ไม่มี เพราะคนรู้ว่าในปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เป็นไปไม่ได้ที่จะมีปัญหา ตนต้องการให้สื่อมองเป็นเรื่องที่ดีบ้าง หากมองว่ามีปัญหาทั้งวันก็จะแย่
“การที่สมเด็จฯ ฮุนเซน ออกมาพูดในฐานะผู้นำประเทศ คงต้องคิดแล้วว่าพูดแล้วมีประโยชน์หรือไม่ หรือทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ ส่วนที่มองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชานั้น ผมคิดว่าทางกัมพูชาพยายามอธิบายให้รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เมื่อเขาถูกพาดพิงก็ขอพูดบ้าง ส่วนจะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับเรา เขาพูดจบไปนานแล้ว แต่สื่อนำมาพูดอยู่ทุกวัน อยากให้เลิกพูดเสียที” รมว.กลาโหมกล่าว
เมื่อถามว่านายสุรพงษ์ที่มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีของไทย แต่นำคำพูดตรงนี้มาขยายต่อ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า มันจบแล้ว ก็จบไป จะมารื้อฟื้นอยู่ทำไม มันมีประโยชน์อะไรบ้าง
เมื่อถามย้ำว่า เกรงหรือไม่ว่าศาลโลกจะหยิบประเด็นตรงนี้ขึ้นมาพิจารณา พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ไม่มี มันไม่เกี่ยวกับเรื่องการตัดสินของศาลโลก การที่กัมพูชาออกมาเปิดเผยเป็นเพียงต้องการให้รู้ว่าเรื่องราวที่พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเท่านั้น สื่อต้องแปลให้ดี ถ้ามันไม่ดี ผมไม่ยอม ไม่ต้องห่วง มันไม่มีอะไร กัมพูชาเพียงแต่พูดความจริงสมัยที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลและได้ดำเนินการเรื่องนี้ ส่วนท่าทีของรมว.ต่างประเทศคนปัจจุบันดีกว่าคนก่อนหน้า
เมื่อถามถึงกรณีนายกรัฐมนตรีจะหารือกับทางกัมพูชากรณีที่กัมพูชาล่วงล้ำเอ็มโอยูปี 43 สร้างที่พักอาศัยบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีออกมาระบุที่จะได้มีการพูดคุยร่วมกัน เรายืนยันว่าปกป้องอธิปไตยอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง เราพยายามดำเนินการให้เป็นไปตามที่เอ็มโอยู 43 กำหนดให้มากที่สุด ทั้งนี้ ไทยจะทำเพียงฝ่ายเดียวไมได้ แต่ต้องทำพร้อมกันทั้งคู่ที่จะมีลงนามร่วมกันกับกัมพูชา ถ้ามีการละเมิดก็จะต้องมีการพูดคุยกัน ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชาแล้ว ซึ่งก็ประท้วงไปมากกว่า 8-9 ครั้งแล้ว
***"ปึ้ง"รับปากไวพูดไทยแพ้คดีพระวิหาร
อีกด้านคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายแพทย์เหวง โตจิราการ ทำหน้าที่แทนประธานคณะกรรมาธิการ มีการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษากรณีศาลโลกจะมีการพิจารณาคำร้องของกัมพูชาเกี่ยวกับข้อพิพาทบริเวณปราสาทพระวิหารในเดือนเม.ย.2556 โดยเชิญนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ มาชี้แจง ซึ่งนายสุรพงษ์ได้ชี้แจงว่า ทีมทนายมีการเตรียมเนื้อหาในการสู้คดีไว้พร้อมแล้ว แต่บางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เพราะอาจกระทบกับรูปคดี โดยทีมทนายแบ่งออกเป็น 3 ทีม โดยมีที่ปรึกษาด้านข้อกฎหมายคือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ ทำหน้าที่กำกับดูแลอีกครั้ง โดยนายพงศ์เทพ จะพาทีมกฎหมายและสื่อมวลชนเดินทางไปพูดคุยกับทีมกฎหมายต่างประเทศที่ประเทศอังกฤษ ในช่วงต้นเดือนก.พ.นี้ ส่วนรายละเอียดและขั้นตอนของการต่อสู้ทางคดี ต้องรอให้ศาลอนุญาตก่อนจึงจะสามารถนำมาเปิดเผยได้
ส่วนกรณีก่อนหน้านี้ที่ตนออกมาระบุว่าประเทศไทยจะมีแต่เจ๊ากับเจ๊งนั้น ตนเป็นคนพูดตรง ก็วิเคราะห์ไปตามข้อกฎหมายใน 4 แนวทาง คือ ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ศาลมีคำสั่งพิพากษายืนตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ศาลตัดสินตามที่กัมพูชาร้องขอ และไทยอาจสูญเสียดินแดนบางส่วนไป ซึ่งส่วนตัวยอมรับว่าปากไวไปหน่อย แต่ยืนยันว่าประเทศไทยจะสู้อย่างเต็มที่ เพราะรู้ดีว่าคนไทยรักและหวงแหนทรัพย์สมบัติที่เป็นของประเทศไทย
ขณะที่นายสามารถ แก้วมีชัย คณะกรรมาธิการ ระบุว่า อยากให้ทุกฝ่ายมาร่วมมือกันเพื่อขอจัดเวทีสัมมนาใหญ่ในเดือนก.พ.นี้ โดยในเวทีสัมมนาจะมีการชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยจะนำข้อมูลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2505 มาชี้แจงให้ประชาชนได้รับรู้ ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการฯ เป็นห่วง ก็ไม่ใช่ในประเด็นของผลการตัดสิน แต่ห่วงในเรื่องของข้อมูลที่มีการนำออกมาเปิดเผยว่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมากน้อยเพียงใด
**ยันกัมพูชาปล่อยตัว “ราตรี” 1 ก.พ.นี้
นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวยืนยันว่า เรือนจำเปรย์ซอว์ของกัมพูชา จะมีการปล่อยตัว น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนพิธีถวายเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานญาติให้ไปรับ น.ส.ราตรี ในเวลา 09.00 น. โดยเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ จะเดินทางร่วมคณะไปด้วย จากนั้นจะพาคณะของ น.ส.ราตรี มาพักผ่อนที่สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย
รายงานข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศกัมพูชาในวันที่ 4 ก.พ.2556 โดยภารกิจสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะในการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ คือ การเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระวรราชบิดา ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 16.30 น.และสิ้นสุดในเวลา 18.30 น. ส่วนภารกิจอื่นๆ ได้แก่ การเข้าพบและหารือข้อราชการกับสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ซึ่งอยู่ระหว่างรอยืนยันกำหนดเวลาจากฝ่ายกัมพูชา