ASTVผู้ จัดการรายวัน- ตลาดหลักทรัพย์ฯเปิด แผนปี56 ตั้งเป้ามีจำนวนหุ้นที่มีสภาพคล่องมากสุดในภูมิภาคอาเซียน หลังจากปีก่อนอลุ่มเทรดสุงสุดแล้วแซงหน้าสิงคโปร์ พร้อมเดินสายโรดโชว์ในประเทศขยายฐานนักลงทุนหน้าใหม่ซื้อขายหุ้นอีก 9.66 หมื่นบัญชี “จรัมพร”แจง วอลุ่มครึ่งเดือนแรกม.ค.สูงเฉลี่ย 5.1 หมื่นล้านบาทต่อวัน เหตุ นักลงทุนให้ความสนใจลงทุนแต่ห่วงจากมีหุ้นP/E สูงเกิน 40 เท่าหลายตัว เตือนนักลงทุนระวังการซื้อ ยังไม่กล้าตั้งเป้าวอลุ่มเทรดปีนี้
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงแผนงานตลาดหลักทรัพย์ฯปี 2556 ว่า ตั้งเป้าเป็นตลาดหุ้นที่มีจำนวนหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่ง ปัจจุบันมีอยู่จำนวน 23 หลักทรัพย์ เท่ากับสิงคโปร์ โดยหุ้นที่มีสภาพคล่องซื้อขายคือ จะต้องขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 1 พันล้านบาท และมีมูลค่าซื้อขายต่อวัน 10 ล้านเหรียญต่อวัน หลังจากปี2555 ตลาดหุ้นไทยมีวอลุ่มการซื้อขายสูงสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ 32,304 ล้านบาทต่อวัน และตั้งเป้าจะมีมาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยอันดับ 1 ในอาเซียน จากปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอยู่ในอันดับที่ 4
ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในช่วงครึ่งเดือนแรกของม.ค.เฉลี่ยอยู่ที่ 51,559 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก ซึ่งส่วนตัวมองว่าเกิดจากนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจาก กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตดี มีคุณภาพคล่อง มีธรรมาภิบาล CG ที่ดี และถูกยกระดับเป็น1 ใน 10 ของกลุ่มตลาดหุ้นเกิดใหม่ชั้นนำ (Advanced Emerging Market)โดยฟุตซี่ กรุ๊ป ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีน้ำหนักการลงทุนในMSCI มากขึ้น จากที่ได้เพิ่มจำนวนหุ้นอีก 4 หลักทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งล่าสุดเดือนม.ค.นี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ไปโรดโชว์ต่างประเทศนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาฟังข้อมูลจำนวนมากที่สุดจากที่เคยไป
สำหรับ ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้ตั้งเป้ามูลค่าซื้อขายต่อวัน เนื่องจาก ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน เพราะ เพียง 15 วันทำการวอลุ่มเฉลี่ยสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท และ ปัจจุบันมีหุ้นหลายตัวที่มีค่าP/Eสูงเกิน 40 เท่า ซึ่ง หากหุ้นที่มีการติดแคลชบาลานซ์ต้องใช้เงินสดในการซื้อหุ้น ซึ่งจะทำให้วอลุ่มซื้อขายของหุ้นนั้นลดลง 80% แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการดำเนินการเตือนนักลงทุนหากราคาหุ้นมีการซื้อขาย ร้อนแรงเพื่อเป็นเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุน
นายจรัมพร กล่าวว่า ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯมุ่งเน้นการขยายฐานนักลงทุนหน้าใหม่ โดยตั้งเป้าเพิ่มบัญชีซื้อขายหุ้นอีก 9.6 หมื่นบัญชี ซึ่ง11 เดือนปี 2555 อยู่ที่ 7.88 แสนบัญชี โดยปี 2555 บัญชีใหม่เพิ่มจำนวน 8.8 หมื่นบัญชี และคาดว่าบัญชีซื้อขายอนุพันธ์จะเพิ่มอีก 2.2 หมื่นบัญชี ซึ่ง 11 เดือนปี55 อยู่ที่ 8 หมื่นบัญชี โดยทั้งปี2555 บัญชีใหม่อนุพันธ์เพิ่ม 1.5 หมื่นบัญชี โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าฐานเงินฝากธนาคารพาณิชย์ คนรุ่นใหม่ และ กลุ่มที่ชอบเทรดหุ้นออนไลน์ ซึ่งจะร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทจัดการกองทุนรวม ในการให้ความรู้ และทำกิจกรรมทางการตลาด โดยจัดโรดโชว์ทั่วประเทศตลอดปีนี้
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ตั้งเป้าเพิ่มมาร์เกตแคปหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนอีกจำนวน 1.2 แสนล้านบาท
จาก กองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างน้อย 3 กองทุน และบริษัทโฮดดิ้งคอมพานี ซึ่งเบื้องต้นมี 2 บริษัท และบริษัทที่อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ต่อก.ล.ต.จำนวน 14 ราย และ ที่คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งอีก มีกองทุนอีทีเอฟประมาณ 3 กองทุน และบริษัทจดทะเบียนเดิมระดมทุนเพิ่มกว่า 1 แสน ลบ.
นอก จากนี้จะมีการต่อยอดความร่วมมือกับตลาดทุนกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และอาเซียน เพื่อขยายโอกาสธุรกิจ และสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค โดยส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG) และความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของบจ.ไทย เพื่อนำไปสู่มาตรฐาน Dow Jones Sustainability Index (DJSI) ยกระดับกระบวนการบริหารความเสี่ยงของทั้งองค์กร พัฒนาระบบซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และระบบชำระราคา
“ใน ปี 2556 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การขยายตัวการลงทุนของภาคเอกชน และการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม วิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรปจะยังคงยืดเยื้อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในหลายด้าน ขณะที่สถาบันการเงินต่างประเทศยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงของเงินกองทุนที่ ต้องมีให้เพียงพอตามกฎเกณฑ์ใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง”นายจรัมพร กล่าว
นายจรัมพร กล่าวว่า การส่งเสริมการลงทุนในระดับภูมิภาค ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์อาเซียน จัดงาน roadshow Invest ASEAN นอก เหนือจากที่จัดไปแล้วที่กรุงเทพฯ จะนำบริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียนไทยพบกับผู้ลงทุนบุคคลและบริษัทหลักทรัพย์ท้องถิ่นในอา เซียนเพื่อให้รู้จักกับตลาดทุนไทยมากขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ประเทศสิงคโปร์ และเดือนมีนาคมที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงเตรียมออกดัชนีใหม่ สำหรับหลักทรัพย์อาเซียน ได้แก่ broad-based ASEAN Index, ASEAN Star index และ sectoral index เพื่อเป็นฐานสำหรับการออกกองทุนต่าง ๆ ต่อไป
ทั้ง นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาระบบซื้อขายและระบบชำระราคาสำหรับตราสารอนุพันธ์อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะเริ่มใช้งานในปี 2557 นอกจากนี้ยังมีแผนปรับปรุงเพิ่มช่องทางระบบการซื้อขาย เช่น Direct Market Access (DMA) และ Program Trading เพื่อ ให้ผู้ลงทุนส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตัวเองผ่านระบบบริษัทหลักทรัพย์สมาชิก หลังเห็นความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเพิ่มสัดส่วนจากช่องทาง DMA เป็น 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด จากปัจจุบันที่ 7%
นอกจากนี้จะดำเนินการตามแผนแม่บทงานปฏิบัติการ (Operations Master Plan) ได้แก่ 1) การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารความเสี่ยงของสำนักหักบัญชีเพื่อให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับชั้นนำของภูมิภาค 2) ขยาย ช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการไปยังกลุ่มผู้ลงทุนและสมาชิกใหม่ ๆ โดยพัฒนาระบบชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ใหม่ สำหรับตราสารทุน ตราสารอนุพันธ์ และตราสารหนี้ ให้อยู่บน platform เดียว กัน และ 3) พัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ให้ครอบคลุมธุรกิจอื่นๆ ที่นอกเหนือจากธุรกิจหลักในปัจจุบัน ได้แก่ การให้บริการธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending: SBL) และการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-strategy) กับผู้ลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงแผนงานตลาดหลักทรัพย์ฯปี 2556 ว่า ตั้งเป้าเป็นตลาดหุ้นที่มีจำนวนหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่ง ปัจจุบันมีอยู่จำนวน 23 หลักทรัพย์ เท่ากับสิงคโปร์ โดยหุ้นที่มีสภาพคล่องซื้อขายคือ จะต้องขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 1 พันล้านบาท และมีมูลค่าซื้อขายต่อวัน 10 ล้านเหรียญต่อวัน หลังจากปี2555 ตลาดหุ้นไทยมีวอลุ่มการซื้อขายสูงสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ 32,304 ล้านบาทต่อวัน และตั้งเป้าจะมีมาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยอันดับ 1 ในอาเซียน จากปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอยู่ในอันดับที่ 4
ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในช่วงครึ่งเดือนแรกของม.ค.เฉลี่ยอยู่ที่ 51,559 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก ซึ่งส่วนตัวมองว่าเกิดจากนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจาก กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตดี มีคุณภาพคล่อง มีธรรมาภิบาล CG ที่ดี และถูกยกระดับเป็น1 ใน 10 ของกลุ่มตลาดหุ้นเกิดใหม่ชั้นนำ (Advanced Emerging Market)โดยฟุตซี่ กรุ๊ป ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีน้ำหนักการลงทุนในMSCI มากขึ้น จากที่ได้เพิ่มจำนวนหุ้นอีก 4 หลักทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งล่าสุดเดือนม.ค.นี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ไปโรดโชว์ต่างประเทศนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาฟังข้อมูลจำนวนมากที่สุดจากที่เคยไป
สำหรับ ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้ตั้งเป้ามูลค่าซื้อขายต่อวัน เนื่องจาก ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน เพราะ เพียง 15 วันทำการวอลุ่มเฉลี่ยสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท และ ปัจจุบันมีหุ้นหลายตัวที่มีค่าP/Eสูงเกิน 40 เท่า ซึ่ง หากหุ้นที่มีการติดแคลชบาลานซ์ต้องใช้เงินสดในการซื้อหุ้น ซึ่งจะทำให้วอลุ่มซื้อขายของหุ้นนั้นลดลง 80% แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการดำเนินการเตือนนักลงทุนหากราคาหุ้นมีการซื้อขาย ร้อนแรงเพื่อเป็นเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุน
นายจรัมพร กล่าวว่า ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯมุ่งเน้นการขยายฐานนักลงทุนหน้าใหม่ โดยตั้งเป้าเพิ่มบัญชีซื้อขายหุ้นอีก 9.6 หมื่นบัญชี ซึ่ง11 เดือนปี 2555 อยู่ที่ 7.88 แสนบัญชี โดยปี 2555 บัญชีใหม่เพิ่มจำนวน 8.8 หมื่นบัญชี และคาดว่าบัญชีซื้อขายอนุพันธ์จะเพิ่มอีก 2.2 หมื่นบัญชี ซึ่ง 11 เดือนปี55 อยู่ที่ 8 หมื่นบัญชี โดยทั้งปี2555 บัญชีใหม่อนุพันธ์เพิ่ม 1.5 หมื่นบัญชี โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าฐานเงินฝากธนาคารพาณิชย์ คนรุ่นใหม่ และ กลุ่มที่ชอบเทรดหุ้นออนไลน์ ซึ่งจะร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทจัดการกองทุนรวม ในการให้ความรู้ และทำกิจกรรมทางการตลาด โดยจัดโรดโชว์ทั่วประเทศตลอดปีนี้
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ตั้งเป้าเพิ่มมาร์เกตแคปหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนอีกจำนวน 1.2 แสนล้านบาท
จาก กองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างน้อย 3 กองทุน และบริษัทโฮดดิ้งคอมพานี ซึ่งเบื้องต้นมี 2 บริษัท และบริษัทที่อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ต่อก.ล.ต.จำนวน 14 ราย และ ที่คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งอีก มีกองทุนอีทีเอฟประมาณ 3 กองทุน และบริษัทจดทะเบียนเดิมระดมทุนเพิ่มกว่า 1 แสน ลบ.
นอก จากนี้จะมีการต่อยอดความร่วมมือกับตลาดทุนกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และอาเซียน เพื่อขยายโอกาสธุรกิจ และสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค โดยส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG) และความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของบจ.ไทย เพื่อนำไปสู่มาตรฐาน Dow Jones Sustainability Index (DJSI) ยกระดับกระบวนการบริหารความเสี่ยงของทั้งองค์กร พัฒนาระบบซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และระบบชำระราคา
“ใน ปี 2556 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การขยายตัวการลงทุนของภาคเอกชน และการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม วิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรปจะยังคงยืดเยื้อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในหลายด้าน ขณะที่สถาบันการเงินต่างประเทศยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงของเงินกองทุนที่ ต้องมีให้เพียงพอตามกฎเกณฑ์ใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง”นายจรัมพร กล่าว
นายจรัมพร กล่าวว่า การส่งเสริมการลงทุนในระดับภูมิภาค ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์อาเซียน จัดงาน roadshow Invest ASEAN นอก เหนือจากที่จัดไปแล้วที่กรุงเทพฯ จะนำบริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียนไทยพบกับผู้ลงทุนบุคคลและบริษัทหลักทรัพย์ท้องถิ่นในอา เซียนเพื่อให้รู้จักกับตลาดทุนไทยมากขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ประเทศสิงคโปร์ และเดือนมีนาคมที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงเตรียมออกดัชนีใหม่ สำหรับหลักทรัพย์อาเซียน ได้แก่ broad-based ASEAN Index, ASEAN Star index และ sectoral index เพื่อเป็นฐานสำหรับการออกกองทุนต่าง ๆ ต่อไป
ทั้ง นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาระบบซื้อขายและระบบชำระราคาสำหรับตราสารอนุพันธ์อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะเริ่มใช้งานในปี 2557 นอกจากนี้ยังมีแผนปรับปรุงเพิ่มช่องทางระบบการซื้อขาย เช่น Direct Market Access (DMA) และ Program Trading เพื่อ ให้ผู้ลงทุนส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตัวเองผ่านระบบบริษัทหลักทรัพย์สมาชิก หลังเห็นความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเพิ่มสัดส่วนจากช่องทาง DMA เป็น 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด จากปัจจุบันที่ 7%
นอกจากนี้จะดำเนินการตามแผนแม่บทงานปฏิบัติการ (Operations Master Plan) ได้แก่ 1) การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารความเสี่ยงของสำนักหักบัญชีเพื่อให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับชั้นนำของภูมิภาค 2) ขยาย ช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการไปยังกลุ่มผู้ลงทุนและสมาชิกใหม่ ๆ โดยพัฒนาระบบชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ใหม่ สำหรับตราสารทุน ตราสารอนุพันธ์ และตราสารหนี้ ให้อยู่บน platform เดียว กัน และ 3) พัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ให้ครอบคลุมธุรกิจอื่นๆ ที่นอกเหนือจากธุรกิจหลักในปัจจุบัน ได้แก่ การให้บริการธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending: SBL) และการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-strategy) กับผู้ลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย