วานนี้(15 ม.ค.55) ที่พรรคประชาธิปัตย์ ตัวแทน 44 ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกกล่าวหาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กรณีบริจาคเงินให้พรรคโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นำโดยนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายอลงกรณ์ พลบุตร นายเกียรติ สิทธีอมร นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นายเจริญ คันธวงศ์ และนายกรณ์ จาติกวณิช ได้ร่วมกันแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวว่า การดำเนินคดีดังกล่าวของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ในการออกหนังสือเรียก ส.ส. 44 คน ของพรรคไปให้ปากคำเพื่อแจ้งข้อหาดำเนินคดีกรณีบริจาคเงิน 2 หมื่นบาท ให้พรรคโดยไม่จ่ายเป็นเช็คหรือตั๋วแลกเงินนั้น เป็นคดีที่ดีเอสไอนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษในการประชุมวันที่ 10 ต.ค.55 และมีมติอนุมัติให้การกระทำผิดดังกล่าวเป็นความผิดในคดีพิเศษ
โดยอ้างเหตุเกิดจากปี 2550-2555 ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานตามกฎหมาย จึงต้องรับผิดชอบตามกฎหมายด้วยแม้ว่าจะมีการมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแทนก็ตามแต่ก็ยังไม่พ้นความรับผิดชอบตามกฎหมายอยู่ดี เพราะคดีนี้ไม่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษที่คณะกรรมการจะรับไว้เพื่อให้ดีเอสไอดำเนินการ
นายชำนิกล่าวว่า ส.ส.ทั้ง 44 คน เตรียมที่จะทำหนังสือร้องเรียนถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษภายในสัปดาห์นี้ เพื่อให้พิจารณาถอนเรื่องดังกล่าวออกจากการเป็นคดีพิเศษเนื่องจากไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมาย และควรปล่อยให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีหน้าที่โดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ โดยพรรคยังเห็นว่าพฤติกรรมของนายกฯ จงใจที่จะใช้อำนาจรัฐผ่านดีเอสไอเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อคุกคามพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ในวันที่ 13 ธ.ค.55 ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในกรณีนี้ไปก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ได้แจ้งต่อนายธาริต แล้วว่าขอให้มีการเลื่อนการพิจารณาคดีนี้ออกไปเป็นช่วงปิดสมัยประชุม ซึ่งนายธาริต ก็รับปาก แต่กลับมีการออกหนังสือเรียก ส.ส.44 คนไปให้ปากคำอีก
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอเคยเรียกตน นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ และนางอัญชลี วานิช เทพบุตร ไปให้ปากคำและเซ็นรับรองเอกสารแล้วก็น่าจะเพียงพอต่อการพิจารณาคดี ดังนั้น ส.ส.ทั้ง 44 คนจึงเตรียมทำหนังสือขอเลื่อนการให้ปากคำดังกล่าวออกไปจนกว่าจะปิดสมัยประชุมเพื่อให้สอดคล้องกับที่นายอภิสิทธิ์ได้แจ้งไว้กับนายธาริตด้วย ประกอบกับในช่วงเปิดสมัยประชุม ส.ส.มีภารกิจทั้งในสภา และการลงพื้นที่ จึงไม่สะดวกที่จะไปให้ปากคำกับดีเอสไอซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน และชัดเจนว่ามีเจตนาที่จะใช้อำนาจรัฐคุกคามคู่แข่งทางการเมือง
นายชำนิกล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้หักเงินสมาชิกพรรคที่เป็น ส.ส.และสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมถึงผู้บริหารพรรคเพื่อเป็นค่าบำรุงพรรคไม่ใช่เงินบริจาคเป็นรายบุคคลทั่วไปนั้น เป็นการหักค่าตอบแทนจากเงินประจำตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามที่กรรมการบริหารพรรคกำหนดไม่ใช่การบริจาคทั่วไปของสมาชิกพรรคหรือบุคคลภายนอกที่ต้องออกเป็นเช็คหรือตั๋วแลกเงินแต่เป็นเงินค่าบำรุงพรรค แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของพรรค และสมาชิกพรรค ถือเป็นความงดงามทางการเมืองเป็นเกียรติภูมิของสมาชิกพรรคที่ให้มีการหักเงินเดือนจากตำแหน่งทางการเมือง แต่กรณีที่ดีเอสไอเอามาเป็นประเด็นคือการบริจาคเงิน 2 หมื่นบาท หรือเกินกว่า 2 หมื่นบาทขึ้นไป
ทั้งที่มีการแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรายงานต่อ กกต.อย่างโปร่งใสตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยไม่เคยถูกท้วงติงว่าเป็นความผิด จึงเห็นว่าการนำเรื่องนี้มาเป็นคดีพิเศษเป็นการแทรกแซงองค์กรอิสระ ทั้งที่ กกต.ก็ยืนยันว่าไม่มีความผิดแล้ว แต่ดีเอสไอยังยืนยันที่จะดำเนินคดีให้เป็นความผิด ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดตามกฎหมายด้วยการเอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาอนุมัติให้เป็นคดีพิเศษ พรรคจึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและนายกฯ ให้ถอนคดีนี้ออกจากคดีพิเศษปล่อยให้ กกต.ดำเนินการตามอำนาจที่มีอยู่ เพราะไม่ใช่อำนาจของนายกฯที่จะคุกคามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตัวเอง
โดยอ้างเหตุเกิดจากปี 2550-2555 ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานตามกฎหมาย จึงต้องรับผิดชอบตามกฎหมายด้วยแม้ว่าจะมีการมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแทนก็ตามแต่ก็ยังไม่พ้นความรับผิดชอบตามกฎหมายอยู่ดี เพราะคดีนี้ไม่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษที่คณะกรรมการจะรับไว้เพื่อให้ดีเอสไอดำเนินการ
นายชำนิกล่าวว่า ส.ส.ทั้ง 44 คน เตรียมที่จะทำหนังสือร้องเรียนถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษภายในสัปดาห์นี้ เพื่อให้พิจารณาถอนเรื่องดังกล่าวออกจากการเป็นคดีพิเศษเนื่องจากไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมาย และควรปล่อยให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีหน้าที่โดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ โดยพรรคยังเห็นว่าพฤติกรรมของนายกฯ จงใจที่จะใช้อำนาจรัฐผ่านดีเอสไอเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อคุกคามพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ในวันที่ 13 ธ.ค.55 ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในกรณีนี้ไปก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ได้แจ้งต่อนายธาริต แล้วว่าขอให้มีการเลื่อนการพิจารณาคดีนี้ออกไปเป็นช่วงปิดสมัยประชุม ซึ่งนายธาริต ก็รับปาก แต่กลับมีการออกหนังสือเรียก ส.ส.44 คนไปให้ปากคำอีก
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอเคยเรียกตน นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ และนางอัญชลี วานิช เทพบุตร ไปให้ปากคำและเซ็นรับรองเอกสารแล้วก็น่าจะเพียงพอต่อการพิจารณาคดี ดังนั้น ส.ส.ทั้ง 44 คนจึงเตรียมทำหนังสือขอเลื่อนการให้ปากคำดังกล่าวออกไปจนกว่าจะปิดสมัยประชุมเพื่อให้สอดคล้องกับที่นายอภิสิทธิ์ได้แจ้งไว้กับนายธาริตด้วย ประกอบกับในช่วงเปิดสมัยประชุม ส.ส.มีภารกิจทั้งในสภา และการลงพื้นที่ จึงไม่สะดวกที่จะไปให้ปากคำกับดีเอสไอซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน และชัดเจนว่ามีเจตนาที่จะใช้อำนาจรัฐคุกคามคู่แข่งทางการเมือง
นายชำนิกล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้หักเงินสมาชิกพรรคที่เป็น ส.ส.และสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมถึงผู้บริหารพรรคเพื่อเป็นค่าบำรุงพรรคไม่ใช่เงินบริจาคเป็นรายบุคคลทั่วไปนั้น เป็นการหักค่าตอบแทนจากเงินประจำตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามที่กรรมการบริหารพรรคกำหนดไม่ใช่การบริจาคทั่วไปของสมาชิกพรรคหรือบุคคลภายนอกที่ต้องออกเป็นเช็คหรือตั๋วแลกเงินแต่เป็นเงินค่าบำรุงพรรค แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของพรรค และสมาชิกพรรค ถือเป็นความงดงามทางการเมืองเป็นเกียรติภูมิของสมาชิกพรรคที่ให้มีการหักเงินเดือนจากตำแหน่งทางการเมือง แต่กรณีที่ดีเอสไอเอามาเป็นประเด็นคือการบริจาคเงิน 2 หมื่นบาท หรือเกินกว่า 2 หมื่นบาทขึ้นไป
ทั้งที่มีการแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรายงานต่อ กกต.อย่างโปร่งใสตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยไม่เคยถูกท้วงติงว่าเป็นความผิด จึงเห็นว่าการนำเรื่องนี้มาเป็นคดีพิเศษเป็นการแทรกแซงองค์กรอิสระ ทั้งที่ กกต.ก็ยืนยันว่าไม่มีความผิดแล้ว แต่ดีเอสไอยังยืนยันที่จะดำเนินคดีให้เป็นความผิด ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดตามกฎหมายด้วยการเอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาอนุมัติให้เป็นคดีพิเศษ พรรคจึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและนายกฯ ให้ถอนคดีนี้ออกจากคดีพิเศษปล่อยให้ กกต.ดำเนินการตามอำนาจที่มีอยู่ เพราะไม่ใช่อำนาจของนายกฯที่จะคุกคามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตัวเอง
