ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เหตุการณ์อัปยศที่เกิดขึ้นกับละครเหนือเมฆ 2 ที่ถูกช่อง 3 เฉดหัวออกจากช่องเนื่องด้วยเกรงกลัวอำนาจบาตรใหญ่ของ “เสี่ยโอ๊คแอ๊บแมน” สะท้อนความเป็นจริงในสังคมไทยพร้อมเปลือยธาตุแท้ของผู้คนในประเทศนี้ได้อย่างล่อนจ้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวาทกรรมลวงโลกของระบอบทักษิณที่โฆษณาชวนเชื่อและล้างสมองไพร่แดงในเรื่องอำมาตย์-ไพร่ หรือสองมาตรฐานได้อย่างถนัดใจ
เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรของคนเสื้อแดงที่ป่าวประกาศปาวๆ ว่า เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แท้ที่จริงแล้วคือรัฐบาลเผด็จการที่มิอาจทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์อันเป็น “ข้อเท็จจริง” โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของตระกูลชินได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะถ้ารัฐบาลและตระกูลชินมีความประชาธิปไตยดังเช่นที่กล่าวอ้างจริง เหนือเมฆ 2 คงไม่ถูกเฉดหัวออกจากช่อง 3 จากอำนาจมืดของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกันปรากฏการณ์เหนือเมฆ 2 ยังได้กระชากหน้ากากของผู้ที่เคยป่าวร้องและสำแดงตัวตนว่าเป็นนักประชาธิปไตยให้ได้อายจนไม่สามารถสรรหาคำแก้ตัวใดๆ มาอธิบายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธาตุแท้ของ 1นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ กับ 2 นักเขียนนามอุโฆษ ที่ออกมาขับเคลื่อนกันอย่างเอิกเกริกเพื่อสนับสนุนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
1 นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่นั้นจะเป็นใครเสียไม่ได้ นอกจาก “ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์” อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะแกนนำคนสำคัญของคณะนิติราษฎร์
ส่วน 2 นักเขียนนามอุโฆษนั้นจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก “ปราบดา หยุ่น” และ “คำผกา”
กรณี “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ถ้าสังคมติดตามพฤติกรรมของคณะนิติราษฎร์อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่า พวกเขาทำการบ้านและเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขมาตรา 112 รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไม่เป็นประชาธิปไตยในบ้านนี้เมืองนี้และปรารถนาที่จะแก้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 อย่างสู้ตายถวายหัว
ถ้ายังจำกันได้นายวรเจตน์เคยให้สัมภาษณ์รายการ Intelligence - Voice TV ในหัวข้อ "กล่าวอ้าง - พาดพิง พูดปกป้องสถาบัน...?" พร้อมทั้งนำเสนอเอาไว้ในเว็บไซต์ของกลุ่มนิติราษฎร์เอาไว้ด้วยว่า
"...เราถูกห้ามพูด เราเก็บทุกอย่างเอาไว้ใต้พรมหมด...ผมถามว่า แล้วปัญหามันจะถูกแก้ได้ยังไงล่ะ ?....พระมหากษัตริย์จะอยู่ในสถานะเป็นที่เคารพสักการะ ก็ต่อเมื่อพระองค์เป็นกลางทางการเมือง พ้นไปจากการเมือง..."
หรือส่วนหนึ่งบทสัมภาษณ์นายวรเจตน์ที่ตีพิมพ์ใน ไทยโพสต์แทบลอยด์ วันอาทิตย์ที่ 25 เม.ย.54 ที่ระบุเอาไว้ว่า....
"เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมเราเสนอแบบนี้ก่อนคือ หนึ่ง ให้เลิก 112 ก่อนหรือเอา 112 ออกจากความผิดในหมวดความมั่นคงของรัฐก่อน นี่เป็นประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะเราเห็นว่าความผิดเรื่องหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ไม่ใช่เรื่องความมั่นคง เรื่องความมั่นคงคือเรื่องที่กระทบต่อการดำรงอยู่ของราชอาณาจักร โอเคถ้าเป็นเรื่องการปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ประมุขของรัฐ อย่างนี้พอบอกได้ว่าเป็นเรื่องกระทบความมั่นคง แต่กรณีของการดูหมิ่น คือการพูดจาไปทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ กำหนดเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ มันไกลไป เพราะเราต้องเข้าใจว่าสมัยใหม่เราแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับรัฐออกจากกัน”
แต่กับกรณีเหนือเฆม 2 ไม่รู้งานนี้ “วรเจี๊ยก” นักวิชาการเสื้อแดงจะกล้าออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของเสี่ยโอ๊คหรือไม่ เพราะนี่ถือเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ชัดเจนจนไม่ต้องตีความให้รกสมอง
ถ้านายวรเจตน์และนิติเรดไม่มีแถลงการณ์ก่นด่าเสี่ยโอ๊คหรือรัฐบาลปูกรรเชียง ก็อย่ามาสะเออะเสนอความคิดเห็นเรื่องการแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกต่อไป เพราะนั่นเป็นใบเสร็จที่สำแดงให้เห็นว่า คณะนิติราษฎร์ไม่ได้ทำงานงานวิชาการด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากแต่ทำงานนักวิชาการเพื่อรับใช้ระบอบทักษิณ
เฉกเช่นเดียวกับ “น.ส.ลักขณา ปันวิชัย” หรือ “คำผกา” ที่ลงทุนโชว์นมเหี่ยวๆ หมดอายุปกป้องนายอำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” อายุ 61 ปี ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรมาแล้ว
ในครั้งนั้น เจ้าของหนังสือ “กระทู้ดอกทอง” ตัวแม่ที่นิยมชมชอบการเปิดเผย “นม จิ๋ม ตด” รสนิยมทางเพศ และเรื่องราวอันเป็นตัณหาราคะของตัวเองให้สาธารณชนได้รับรู้ให้เหตุผลเอาไว้ว่า “แทนที่จะหลบอยู่หลังตู้เย็น หลบอยู่หลังหน้าจอคอมพ์ อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรซักอย่าง ที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป และส่งข้อความออกไปยังสังคม...ให้สังคมไทยนั้นก้าวพ้นความกลัวไปด้วยกัน งานชิ้นนี้ เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ใช้ร่างกายประท้วงต่อความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งการกล้าเปิดกาย-ใจ และการกล้าเปิดเผยตัวตนนี่เอง ที่เป็นการเผชิญหน้าและเอาชนะความกลัวได้อย่างแท้จริง”
ด้วยเหตุดังกล่าวในครั้งนี้ ถ้าคำผกามีความบริสุทธิ์ใจจริงก็จะต้องออกโรงเปิดแคมเปญโชว์นมเหี่ยวๆ พร้อมด้วยข้อความเหนือเมฆ 2 เอาไว้บนหน้าอกเช่นเดียวกัน
กล่าวสำหรับปราบดา หยุ่น เมื่อครั้งที่กระโดดออกมาจากมุมมืดพร้อมกับก๊วนสมอลล์รู กูแนว” ทำ “จดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนไทยทั่วประเทศ เรื่อง: ขอเชิญร่วมลงชื่อในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และยุติการใช้ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง” เขาให้เหตุผลชัดเจนว่า “พวกเรามิใช่กลุ่มก้อนที่ต้องการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือระดมแนวร่วมเชิงอุดมการณ์ พวกเราปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัวและไม่มีเจตนาแอบแฝงใดๆ นอกเหนือไปจากการเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น และความเป็นธรรม อันเป็นปัจจัยสำคัญขั้นพื้นฐานที่ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยพึงได้รับ และเป็นหัวใจของการทำงานเขียน ซึ่งผูกพันเกี่ยวข้องกับพวกเราและนักเขียนผู้ร่วมลงชื่อทั้งหมดโดยตรง”
ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุกับละครเหนือเมฆ 2 สังคมจึงอยากเห็นท่าทีของคุ่นแอนด์เดอะก๊วนสมอลล์รูกูแนวบ้างว่า มีความคิดเห็นเช่นไร เพราะนี่คือการลิดรอดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ชัดเสียยิ่งกว่าชัด
นี่ยังไม่นับรวมถึงนักวิชาการนามอุโฆษอย่าง “นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล”
นี่ยังไม่รวมถึง “นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์” นักรัฐศาสตร์ สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ ผู้ริเริ่มแคมเปญ “ฝ่ามืออากง”
และไม่รวมถึงนักประชาธิปไตยชื่อก้องโลกอย่าง บก.ลายจุด-สมบัติ บุญงามอนงค์