ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สวมวิญญาณ “ผบ.men มา” อีกครั้ง สำหรับผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งออกอาการเกรี้ยวกราดเข้าใส่สื่อในเครือ “ASTVผู้จัดการ” ระหว่างเดินทางลงพื้นที่ชายแดนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและพบปะกำลังพลกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ปฏิบัติหน้าที่ พร้อมรับฟังบรรยายการสรุปการเตรียมการปฏิบัติการรองรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา
ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียวคือรับไม่ได้หรือทนไม่ได้กับการวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนความล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดระยะเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
“พันธมิตรฯ คือใคร ผมไม่ใส่ใจ ถ้าเขาทำได้ก็ทำไป ถ้ามีช่องทางทำได้ก็ทำไป ต้องไปดูกฎหมายเขาว่าอย่างไร กติกาโลกว่าอย่างไร ถามว่าเป็นรัฐบาลหรือเปล่า ถ้าเป็นรัฐบาลคงต้องฟัง แต่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนเขาจะเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมก็ให้เขาเชิญไป แต่ถ้าทหารไปร่วมชุมนุม ผมก็ต้องลงโทษ เพราะผมไม่ให้ไป ผมจะปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ใครมีอำนาจตามกฎหมาย ผมก็ทำในกรอบที่มีอยู่ในส่วนของผมให้ดีที่สุด
ไม่มีใครอยากให้ประเทศชาติเสียหาย ดังนั้นมองเจตนาคนให้มันดีหน่อย ไอ้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมบอกได้เลยว่า มันเขียนห่วย ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ เอาอะไรมาด่าผม เอาศักดิ์ศรีอะไรมาด่าผม ทำไมรักประเทศชาติอยู่คนเดียวหรืออย่างไร ไปดูพฤติกรรมตัวเองเป็นอย่างไรกันบ้าง ผมทนมานานพอสมควรแล้ว ทั้งนี้การทำงานของ 7 กองกำลังชายแดนทำตามแผนงานของกองทัพบกเพื่อให้ทำงานครอบคลุมทุกพื้นที่ แต่ละปีมีการพัฒนาแผนว่าจะขยับกำลังตรงไหน อย่างไร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งสองประเทศ และเตรียมการ แต่ไม่ใช่ว่าจะไปรุกรานต่อกัน สิ่งที่ทำวันนี้เพื่อป้องกันภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ปัญหาตลอดชายแดนที่ท่านเป็นห่วง แต่ผมเป็นห่วงยิ่งกว่าท่าน เพราะเป็นหน้าที่ผม ผมเป็นคนรับผิดชอบ ทุกคนก็ห่วงใยมาตามสายงานด้านความมั่นคง ถ้าไม่ห่วงคงไปต้องลงพื้นที่ คงสั่งอย่างเดียว”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยอารมณ์หวี่ยงวีนปรี๊ดแตกเจาะจงใส่สื่อมวลชนในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการไม่ต่างอะไรกับหญิงสาว ทั้งหลายที่มีอาการสติแตกพาลคนรอบข้างเวลาฮอร์โมนพุ่งยามปวดท้องประจำเดือน
และนั่นถือเป็นเรื่องปกติตามวิสัยของผู้บัญชาการทหารบกผู้นี้ในยามที่สื่อมวลชนไล่ต้อนด้วยคำถามที่ไม่สามารถแสวงหาคำตอบมาอธิบายให้สังคมได้เข้าใจได้
ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากสังคมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารหาญที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์นึกย้อนกลับไปตรวจสอบผลงานของผู้บัญชาการทหารบกคนนี้ ก็จะพบว่า มิได้มีผลงานหรือกระทำการอันใดให้สมกับที่ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งอันสำคัญต่อชาติและบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารระหว่างราชอาณาจักรไทยและกัมพูชา ยิ่งเห็นได้ชัดเจนถึงบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นอย่างดีว่ายังสมควรที่จะดำรงตำแหน่งนี้อีกต่อไปหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ต้องไม่ลืมว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวในกรณีปราสาทพระวิหารด้วยเหตุผลประการเดียวคือ ปกป้องดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยที่บรรพบุรุษและบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้ใช้เลือดเนื้อและชีวิตปกป้องเอาไว้
พล.อ.ประยุทธ์ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้คำว่า “ผมไม่ใส่ใจ”
เพราะเป็นการดีเสียอีกที่เครือข่ายภาคประชาชนพร้อมจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทหารในการปกป้องอธิปไตยของชาติ
พล.อ.ประยุทธ์ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้คำว่า “ถามว่าเป็นรัฐบาลหรือเปล่า ถ้าเป็นรัฐบาลคงต้องฟัง แต่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”
เพราะนั่นแสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์ใส่ใจเฉพาะผู้ที่มีอำนาจดลบันดาลยศถาบรรดาศักดิ์หรือทำให้เก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกของตนเองยังคงดำรงอยู่ต่อไปเท่านั้น
ที่สำคัญคือเป็นการไม่ฉลาดหรือสมควรที่จะใช้คำที่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนศรกลับไปว่า “ห่วย” อย่างชนิดที่หาคำใดมาเปรียบเปรยไม่ได้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใส่ใจเสียงของประชาชน
เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์สำรากออกมาจากปากอย่างหน้าไม่อายว่า “ถ้าทหารไปร่วมชุมนุม ผมก็ต้องลงโทษ เพราะผมไม่ให้ไป”
ทหารผู้รักชาติและตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติกลับจะต้องถูก พล.อ.ประยุทธ์ลงโทษเช่นนั้นหรือ
ไม่รู้ว่ามีกฎหมายข้อไหนในรัฐธรรมนูญมาตราใดระบุเอาไว้ว่าห้ามประชาชนหรือทหารไทยทำการชุมนุมเพื่อรักษาฮธิปไตยของไทย ในทางตรงข้ามนี่ควรจะเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน
วันนี้ชาวบ้านที่ภูมิซรอลทุกคนพร้อมลุกขึ้นสู้ พร้อมตายในแผ่นดินที่เกิด พากันขุดบังเกอร์รักษาที่มั่นและต้องการการสนับสนุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังทหารเพื่อความอุ่นใจความปลอดภัยในทรัพย์สินและสวัสดิภาพ แต่การเข้าไปตรวจพื้นที่ของพล.เอก ประยุทธ์ กลับทำราวกับว่าคนไทยเหล่านี้คืออริราชศัตรู
ผิดด้วยหรือที่ นายโชคชัย สายแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จะประกาศว่า “หากมีการชุมนุมใหญ่เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลก ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน จ.ศรีสะเกษก็พร้อมเข้าร่วมชุมนุมเพื่อต่อต้านไม่ให้ชาติไทยต้องเสียดินแดนเพราะคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาของศาลโลกอย่างเด็ดขาด”
ผิดด้วยหรือที่คุณตานักสู้อย่าง “นายผัน กิ่งแสง” อายุ 75 ปี ชาวบ้านหมู่ 4 บ้านโศกขามป้อม ตำบลภูผาหมอก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ประกาศจัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานหมู่บ้านสมัชชาธรรมยาตราพิทักษ์สยาม ทวงคืนเขาพระวิหาร มณฑลบูรพาโดยอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ.1941” เพื่อปกป้องและรักษาผืนแผ่นดินไทยเอาไว้ด้วยชีวิต
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ด่ากราดสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการว่า “ไอ้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมบอกได้เลยว่า มันเขียนห่วย ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ เอาอะไรมาด่าผม เอาศักดิ์ศรีอะไรมาด่าผม ทำไมรักประเทศชาติอยู่คนเดียวหรืออย่างไร”
ก็ต้องบอกว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการใช้ศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทย ใช้ศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อมวลชนที่ยืนหยัดต่อสู้กับทหารชั่วและทรราชในบ้านนี้เมืองนี้มาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬน่าจะเป็นสิ่งที่สะท้อนศักดิ์ศรีของสื่อในเครือASTVผู้จัดการได้เป็นอย่างดี
เหตุการณ์ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนต้องกลายเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนหนีคดีโกงบ้านกินเมืองคือสิ่งที่สะท้อนศักดิ์ศรีของสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการได้เป็นอย่างดี
แล้วถามว่า ผู้บัญชาการทหารบกที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีเกียรติประวัติหรือศักดิ์ศรีอะไรให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมบ้าง
เพราะเพียงแค่เรื่องใกล้ตัวยอย่างกรณีการเสียชีวิตของ “พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม” ตลอดรวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาที่เสียชีวิตจากน้ำมือของ “กองกำลังชุดดำสังกัดคนเสื้อแดง” กระทั่งบัดเดี๋ยวนี้ นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถเรียกศักดิ์ศรีให้กับกองทัพได้แล้ว ซ้ำร้ายผู้ใต้บังคับบัญชายังต้องตกเป็นจำเลยโดยที่ “นาย” อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ทำตัวเสมือนทองไม่รู้ร้อนอีกต่างหาก ขณะที่ผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองได้รับเงินเยียวยาไปเรียบร้อยแล้ว 7.5 ล้านบาท จนพวกเขาตกเป็นจำเลยของสังคม กระทั่งญาติพี่น้องของทหารเหล่านั้นต้องลุกขึ้นมาทวงความเป็นธรรมให้สามีและลูกของตนเอง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 “นางนิชา ธุวธรรม” ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้าได้เดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบกพร้อมกับญาติกำลังพลที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวน 20 คนเพื่อยื่นหนังสือต่อ “พล.อ.อรุณ สมตน” ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ในฐานะประธานคณะทำงานติดตามคดีของกองทัพบก
“เราเกิดความไม่มั่นใจในการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ เพราะจนถึงขณะนี้ทหารถูกเรียกไปสอบ ส่วนที่โดนกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก มีการส่งคดีเข้าสู่ศาลหลายคดีด้วยกัน แต่ในส่วนของทหารที่เป็นผู้ถูกกระทำยังไม่มีความคืบหน้า จึงขอให้ ทบ.ให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายคิดถึงสิทธิมนุษยชนของทหารที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลความไม่สงบ เพราะที่ผ่านมาในรายงานต่างๆ พูดถึงแต่สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุม”
ชีวิตสามีของเราและของคนอื่นๆ ก็ตายไปแล้ว แต่เราอยากใช้กรณีนี้รักษาชีวิตของทหารคนอื่น ทั้งพี่เพื่อนน้องที่เป็นทหารด้วยกันที่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้และที่กำลังจะปฏิบัติหน้าที่ในวันข้างหน้าต่อไป นั่นคือเหตุผลที่ญาติของผู้เสียชีวิตจะต้องต่อสู้จุดนี้ เราไม่ต่อสู้เพื่อสามีของเราเพราะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว แต่เพื่อเอากรณีของสามีเรา หรือคนอื่นๆ ในการรักษามาตรฐานบรรทัดฐานต่อไป”นางนิชาบอกเล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับ “นางกาญจนา เมืองอำพัน” มารดาของ “สิบโทอนุพงษ์ เมืองอำพัน” ที่มีความรู้สึกในทำนองเดียวกันว่า “รู้สึกอึดอัดใจในการนำเสนอข่าวของสื่อที่โจมตีว่าฝ่ายทหารกระทำความผิดอยู่ฝ่ายเดียว ทุกวันนี้ช้ำใจและเราอยากจะมีจุดที่พึ่งพิงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเราบ้าง และอยากให้ ทบ.ได้ช่วยเหลือเร่งรัด จากการที่มีโอกาสได้พบนายโคฟี่ อันนัน ท่านก็บอกว่าให้เรามั่นคงและเข้มแข็ง ทุกวันนี้เราจึงต้องเข้มแข็ง ส่วนจะให้ไปเรียกร้องความเป็นธรรมในส่วนอื่นๆ เราอยู่ในความดูแลของกองทัพบก คิดว่ากองทัพบกน่าจะช่วยเราได้….”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้าและญาติกำลังพลที่เสียชีวิตร้องขอความเป็นธรรม
ถามว่า ทำไมภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ญาติกำลังพลผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บถึงต้องร้องขอความเป็นธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คำตอบก็คือ ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกมีความสำนึกรับผิดชอบและเป็นที่พึ่งให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในกองทัพบกมากกว่านี้ เหตุการณ์ในลักษณะนี้ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น
นี่ไม่นับรวมเหล่ากอของขบวนการล้มเจ้าที่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง สร้างความสะเทือนใจและเจ็บช้ำน้ำใจให้กับประชาชนผู้จงรักภักดีทั้งประเทศ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำได้แค่เพียงคำรามสร้างภาพจนเสียงแหบเสียงแห้ง
กรณีที่รัฐบาลมีคำสั่งห้ามหน่วยงานต่างๆ จุดพลุเฉลิพระเกียรติวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ก็มิได้มีปฏิกิริยาใดๆ ออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือกรณีที่ พล.เอก ชัยสิทธิ ชินวัตร แอบอ้างถ้วยพระราชทานไปมอบรางวัลให้นักมวยที่บ่อนมาเก๊าร่วมกับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร พล.อ.ประยุทธ์ก็นิ่งเฉย ปิดปากสนิท
จะกล้าและปากดีก็เฉพาะกับกับสื่อมวลชนและประชาชนที่ต่อสู้เพื่อปกป้องชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เท่านั้น
ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณจำนวนมหาศาลให้ทุกปี ปีละนับนับพันนับหมื่นล้านบาท ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์มีตัวเลขหรือหลักฐานข้อมูลที่ตรงไหนมายืนยันถึงขีดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการทหารบกบ้าง
ไหนจะเหตุการณ์เรือเหาะบุโรทั่งมูลค่า 300 ล้านบาทที่กองทัพบกในยุค “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” เป็นผู้บัญชาการทหารบกจัดซื้อมาปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภายใต้ตก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ได้อย่างล่อนจ้อนในอีกมิติหนึ่ง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์รู้ทั้งรู้ว่า เรือเหาะลำนี้มีปัญหา เพราะนับตั้งแต่จัดซื้อมาก็มีสารพัดปัญหา ต้องซ่อมบำรุงแล้วซ่อมบำรุงเล่า กระทั่งสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นับตั้งแต่จัดซื้อมาไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยคิดที่จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเสียด้วยซ้ำไป แถมยังสานต่อเจตนารมณ์ด้วยทุ่มงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท หวังซ่อมแซมให้เรือเหาะ สกาย ดรากอน ผงาดขึ้นน่านฟ้าให้จงได้
แถมเมื่อถูกผู้สื่อข่าวซักถามเรื่องเรือเหาะตรวจการณ์ครั้งใด เป็นอันต้องโมโหโกรธาทุกครั้งไป ราวกับใช้ความโมโหเพื่อกลบเกลื่อนความบุโรทั่งของเรือเหาะ รวมทั้งปกป้องบูรพาพยัคฆ์ผู้พี่อย่างไรอย่างนั้น
ทั้งนี้ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์เปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์สื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ www.manager.co.th กันอย่างคับคั่ง ตลอดทั้งวัน(วันที่ 10 มกราคม 2556) มีจำนวนคนเข้ามาอ่านกว่า 30,000 คน มีผู้ให้ความเห็นกับบทสัมภาษณ์นี้ในหลากหลายแง่มุม
เช่น ความคิดเห็นที่ 38 ที่ใช้ชื่อว่า “ผบ.ลอกท่อ” ให้ความเห็นว่า ที่พวกผมด่าท่าน ผบ.รักชาติ เพราะผมเป็นเจ้าของประเทศเหมือนท่าน และเสียเงินภาษีให้ท่านได้ไปซื้อเครื่องบินเรือเหาะ และผมก็รักชาติ แต่สิ่งที่ท่านทำมันไม่ได้เรียกว่ารักชาติ ผมก็ต้องออกมาด่าท่านไงว่าท่านมัน ผบ.ไม่เอาไหน มีแต่เห่า รักษาสถานะภาพ กอดเก้าอี้แน่นตั๊บ
ความคิดเห็นที่ 31 ใช้ชื่อว่า“ธรรมรัตน” ระบุว่า หมาบ้านผม ไม่ต้องสั่ง มันปกป้องพื้นที่บ้านด้วยใจรักและหวงแหนในพื้นที่ของมันไม่มีอิดออด เลี้ยงมันแล้วไม่เสียข้าวสุก เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งผู้พิทักษ์
ความคิดเห็นที่ 57 ใช้ชื่อว่า “เข้ามาสมเพชมรึงแล้วนะ” ถามหาศักดิ์ศรีด้วยเหรอ ไอ้หน้าด้าน ที่มรึงปล่อยลูกน้องให้โดนควายแดงขวิดตายฟรีๆที่แยกคอกวัว ไม่เห็นเคยทวงถามซักแอะ ผู้ใต้บังคับบัญชา มรึงยังรักเขาได้แค่นี้ เรื่องชาติไม่ต้องพูดถึง พฤติกรรมอย่างนี้อย่าว่าแต่นำกองทัพเลย แค่เลี้ยงหมาซักตัวมันยังไม่อยากอยู่ใกล้มรึงเลย
ความคิดเห็นที่ 58 ที่ชื่อว่า “เก่งแต่ด่านักข่าวอย่างเดียว”ระบุว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เขียนห่วยไม่ห่วยแต่เขาทำหน้าที่ ตัวเองตอบได้ไหมล่ะ เป็น ผบ.ทบ. ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหนุนรัฐบาลกับว๊ากสื่อ.
จากความคิดเห็นและข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ไม่ต้องมีบทสรุป สังคมก็คงวินิจฉัยได้ด้วยตัวเองว่า ไอ้ผู้จัดการเขียนห่วย หรือ ไอ้ ผบ.ทบ.ชื่อประยุทธ์ จันทรโอชา ห่วยกันแน่