วานนี้ ( 3 ม.ค.) นายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำฟ้องของศาลปกครองกลาง กรณีขอให้เพิกถอนการจัดประมูลคลื่นความถี่ 3 จี ต่อศาลปกครองสูงสุดแล้ว โดยยื่นทางไปรษณีย์ไปเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.55 และตรวจสอบแล้วว่า คำร้องอุทธรณ์ส่งถึงสำนักงานศาลปกครองแล้ว เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 2 ม.ค.
ทั้งนี้การยื่นอุทธรณ์ดังกล่าว เป็นการยื่นในประเด็นเดิมโดยผู้ตรวจฯได้ยืนยันว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ไม่ได้มีสภาพเป็นนิติบุคคล การดำเนินการจัดประมูลคลื่นความถี่ 3 จี จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยธุรการที่มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย คือสำนักงาน กสทช. ซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ตรวจฯ ที่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลฯได้
นอกจากนี้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 245 ให้อำนาจผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถยื่นเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลปกครองได้ ในกรณีที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเรื่องที่มีผลกระทบต่อความเสียหายของประชาชนส่วนรวม หรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ซึ่งในกรณีการประมูลคลื่นความถี่ 3 จี ผู้ตรวจฯ เห็นว่าไม่ได้มีการแข่งขันที่เสรีเป็นธรรม และสังคมมีความคลางแคลงใจในประเด็นนี้ ซึ่งยังไม่ได้มีการวินิจฉัย กรณีดังกล่าวจึงมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 ประกอบ มาตรา 45 ของพ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม 2553 ซึ่งเชื่อว่าศาลปกครองสูงสุดน่าจะรับคำอุทธรณ์ของผู้ตรวจฯ ไว้พิจารณา และมีการพิจารณาคำขอไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อขอให้กำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาที่ขอให้ศาลฯ สั่งระงับการออกใบอนุญาต 3 จี ไว้ก่อนด้วย
ทั้งนี้ นายรักษเกชา ยังปฏิเสธข่าวที่ว่า ผู้ตรวจฯพยายามล็อบบี้ศาลปกครองให้รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา โดยกล่าวว่า ผู้ตรวจไม่เคยไปหารืออะไรกับทางศาลปกครองเลย และศาลก็เป็นอิสระ ซึ่งผู้ตรวจก็พยายามทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนที่กสทช.ได้เดินหน้าออกใบอนุญาต 3 จี ให้กับเอกชนไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องหน้าที่ ความรับผิดชอบที่แต่ละองค์กรมีแตกต่างกันไป
ทั้งนี้การยื่นอุทธรณ์ดังกล่าว เป็นการยื่นในประเด็นเดิมโดยผู้ตรวจฯได้ยืนยันว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ไม่ได้มีสภาพเป็นนิติบุคคล การดำเนินการจัดประมูลคลื่นความถี่ 3 จี จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยธุรการที่มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย คือสำนักงาน กสทช. ซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ตรวจฯ ที่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลฯได้
นอกจากนี้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 245 ให้อำนาจผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถยื่นเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลปกครองได้ ในกรณีที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเรื่องที่มีผลกระทบต่อความเสียหายของประชาชนส่วนรวม หรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ซึ่งในกรณีการประมูลคลื่นความถี่ 3 จี ผู้ตรวจฯ เห็นว่าไม่ได้มีการแข่งขันที่เสรีเป็นธรรม และสังคมมีความคลางแคลงใจในประเด็นนี้ ซึ่งยังไม่ได้มีการวินิจฉัย กรณีดังกล่าวจึงมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 ประกอบ มาตรา 45 ของพ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม 2553 ซึ่งเชื่อว่าศาลปกครองสูงสุดน่าจะรับคำอุทธรณ์ของผู้ตรวจฯ ไว้พิจารณา และมีการพิจารณาคำขอไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อขอให้กำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาที่ขอให้ศาลฯ สั่งระงับการออกใบอนุญาต 3 จี ไว้ก่อนด้วย
ทั้งนี้ นายรักษเกชา ยังปฏิเสธข่าวที่ว่า ผู้ตรวจฯพยายามล็อบบี้ศาลปกครองให้รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา โดยกล่าวว่า ผู้ตรวจไม่เคยไปหารืออะไรกับทางศาลปกครองเลย และศาลก็เป็นอิสระ ซึ่งผู้ตรวจก็พยายามทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนที่กสทช.ได้เดินหน้าออกใบอนุญาต 3 จี ให้กับเอกชนไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องหน้าที่ ความรับผิดชอบที่แต่ละองค์กรมีแตกต่างกันไป
