ผมเขียนถึงความเสียหายของประเทศสหรัฐอเมริกามาบ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่น “สองรูปแบบการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา” (2003) ไทยโพสต์ ตีพิมพ์เรื่องนี้ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2005 และอีกเรื่องคือ “สหรัฐอเมริกาสมาชิกประเทศยากจนใหม่” (2003) ก็ด้วยรู้ว่าได้เกิดความเสียต่อเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาและต่อโลกนั่นเอง เวลาผ่านไปแล้วประมาณ 10 ปี ยืนยันได้ว่าสิ่งที่ผมเขียนไว้เป็นจริง
เรื่อง “สองรูปแบบการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา” (2003) ระหว่างปี 1999 - 2001
1) โจมตีรูปแบบแรก ได้มีการโจมตีตลาดหุ้น NASDAQ อย่างรุนแรง Hedge Funds เป็นผู้ที่เข้าใจกลไกที่เกิดขึ้นในตลาดเงิน ตลาดทุนและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทุกซอกทุกมุมดียิ่ง ปี 1999 ดัชนี NASDAQ ได้มีการเพิ่มตัวหุ้นที่มูลค่าตลาดสูง 3-4 ตัว เข้าไปคำนวณในดัชนี NASDAQ ยกตัวอย่างเช่น หุ้น Microsoft ดัชนี NASDAQ เป็น Market Capitalization weighted index ส่งผลให้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของดัชนีสูงขึ้นอย่างผิดปกติทันที การที่ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของดัชนีสูงขึ้น แสดงว่าดัชนีอ่อนแอมาก ทำให้ Hedge Funds บุกโจมตีทันที ลากดัชนีสูงขึ้นจากระดับ 2,000 จุด ไปสูงสุดในต้นปี 2000 กว่า 5,000 จุด แล้วถล่มทุบลงมา ดัชนีตกลง 78 เปอร์เซ็นต์ ช่วงปลายปี 2002
2) โจมตีรูปแบบที่ 2 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ได้มีผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินภายในประเทศ บินเข้าชนตึกคู่แฝด World Trade Center กลางกรุง New York และศูนย์บัญชาการทางทหาร Pentagon เมื่อวันที่ 11 เดือนกันยายน 2001
ผู้คนรู้แต่ว่ามีการโจมตีตึกคู่แฝด World Trade Center และ Pentagon เพราะเห็นตึกพังทลายลงมาทั้ง 2 ตึก แต่ไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวตลาด NASDAQ ถูกโจมตีอย่างรุนแรง การโจมตีตึกคู่แฝด WTC เสียหายไม่มาก ประมาณ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่การโจมตีตลาด NASDAQ ก่อให้เกิดความเสียหายเบื้องต้นกว่า 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต่อมาทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาล้มระเนนระนาดเละและหมดรูปแบบ ความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับอเมริกาเท่านั้น แต่ก่อให้เกิดความเสียหายไปทั่วโลก
แทนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะจัดการกับการโจมตีตลาด NASDAQ แต่อเมริกาคิดไปจัดการกับคนที่คิดว่าเขาโจมตี WTC
เรื่อง “สหรัฐอเมริกาสมาชิกประเทศยากจนใหม่” (2003) เป็นผลจากการต่อเนื่องจากการโจมตีตลาด NASDAQ นั่นเอง ทำให้เงินเหรียญสหรัฐพังทลาย สภาพคล่องเสียหาย เอกชนล้มละลาย เกิดหนี้เสีย คนตกงาน ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกายากจนลง ซึ่งไม่เพียงทำความเสียหายให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบความเสียหายไปทั่วโลก สกุลเงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่มีส่วนแบ่งมากที่สุดในโลก เมื่อเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อไปทั่วโลก เห็นได้จากราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการล่มสลายทางเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซน
กลไกความเสียหายจากการที่ตลาดหุ้นหนัก ไม่ว่าตลาดหุ้นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือตลาดหุ้นประเทศที่กำลังพัฒนา จะเกิดเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจของระบบแบบเดียวกัน กลไกการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
“ตลาดหุ้นประเทศใดตกหนัก จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นตกลงตามมาด้วย เมื่อค่าเงินตกหนัก ผู้คนหรือ Hedge Funds จึงไม่ถือเงินสกุลนั้น เปลี่ยนจากเงินสกุลนั้นไปถือเงินสกุลอื่น หรือสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินอื่น ที่เรียกว่าเงินไหลออกจากระบบ เมื่อเงินไหลออกจากระบบ จะทำให้สภาพคล่องของระบบเสียหายหรือขาดแคลน เป็นเหตุให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมล้มลง ไม่ว่าภาคการผลิตจริงหรือภาคการเงินต่างล้มลง ที่เป็นเหตุให้คนตกงาน ซึ่งทำให้หนี้เสียของระบบเพิ่มขึ้น หลายส่วนมีการล้มละลายถาวร บางส่วนที่รัฐเข้าไปอุดหนุน โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ออกพันธบัตรมาช่วยเหลือสภาพคล่อง ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น การที่ค่าเงินเสียหาย คือเงินมีค่าน้อยลง ที่เรียกว่าเงินเฟ้อ”
แสดงภาพให้เห็นว่า การพังทลายของ NASDAQ 2000-2002 ทำให้เงินไหลออกจากอเมริกาต่อเนื่องระหว่างปี 2000-2007 ค่าเงินเหรียญสหรัฐช่วงดังกล่าวเสียหายอย่างมาก ทำให้เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ไหลออกมาท่วมโลก ไหลเข้าไปเป็นทุนสำรองของแต่ละประเทศ ไหลเข้าไปในเอเชีย ไหลเข้าไปในอาเซียน ไหลเข้าไปในยูโรโซน ทำให้ค่าเงินและตลาดหุ้นเอเชียสูงขึ้น ทำให้ค่าเงินและตลาดหุ้นอาเซียนสูงขึ้น ทำให้ค่าเงินและตลาดหุ้นยูโรโซนสูงขึ้น
หมายเหตุ : การพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐหลังปี 2000 รวมทั้งการสูงขึ้นของค่าเงินและตลาดหุ้นประเทศต่างๆ มีความสัมพันธ์ต่อกัน ผู้เขียนได้นำเสนอในบทความก่อนหน้านี้มาหลายครั้งแล้ว ผู้อ่านสามารถกลับไปดูข้อมูลย้อนหลังได้
ภาพที่เห็นนี้คือดัชนีตลาดหุ้นของภูมิภาคยุโรป 39 ประเทศ (ยูโรโซน) เอามาเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000-2007 ทำให้ผู้คนและ Hedge Funds ไม่ถือเงินเหรียญสหรัฐ หรือเงินไหลออกจากสหรัฐ เปลี่ยนมาถือหรือแลกเป็นเงินสกุลอื่นหรือถือสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินอื่น ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับกลุ่มยูโรโซน ทำให้ดัชนีหุ้น EUROPE39 Index พุ่งสูงขึ้นเป็นเวลา 6-7 ปีติดต่อกัน จากจุดต่ำสุดของช่วงเวลาดังกล่าว สูงขึ้นมา 356 เปอร์เซ็นต์ในปลายปี 2007 แล้วพังทลายลงในปี 2008 ที่รู้จักกันในชื่อ Hamburger Crisis ตกลง 71 เปอร์เซ็นต์
ความสัมพันธ์ของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยูโรโซน
NASDAQ index ของสหรัฐอเมริกาพังทลายในปี 2000 ตกลง 78 เปอร์เซ็นต์
ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา
เงินยูโรแข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นยุโรโซนสูงขึ้นระหว่างปี 2001-2007
EUROPE39 index ของยูโรโซนพังทลายในปี 2008 ตกลง 71 เปอร์เซ็นต์
ผู้อ่านกลับไปอ่าน “กลไกการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ” ที่นำเสนอไว้ในช่วงต้นองบทความอีกครั้ง นั่นคือต้นเหตุความย่อยยับทางเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาและของยูโรโซนมีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน และมีความสัมพันธ์ต่อกัน ตลาดหุ้นยูโรโซนพังทลายหนักในปี 2008 หลังปี 2008 ค่าเงินยูโรก็เสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น ไหลออกจากยูโรโซน ทำให้สภาพคล่องของยูโรโซนเสียหาย ทำให้ภาคเศรษฐกิจของยูโรโซนล้มลง เกิดหนี้เสียท่วมภูมิภาค หลายประเทศหนี้เสียสูงกว่า 100-200 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี และคนตกงานมาก หลายประเทศตัวเลขคนตกงานสูง 20-25 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะวัยรุ่นตกงาน 40-50 เปอร์เซ็นต์
เศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาเสียหายแบบไหนอย่างไร เศรษฐกิจของประเทศกลุ่มยูโรโซนเสียหายแบบเดียวกัน
ตลาดหุ้นยิ่งพัฒนามากเท่าใด ยิ่งมีความเป็นอบายมุข และมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ตลาดหุ้นประเทศสหรัฐอเมริกาและตลาดหุ้นของประเทศกลุ่มยูโรโซน เป็นตลาดหุ้นเกิดเก่า เกิดมานานแล้ว ที่มีการพัฒนาตลาดหุ้นสูงสุดที่ในโลก เช่น การพัฒนาของตลาดอนุพันธ์ (Derivatives) ใช้เงินประกันเพียง 10 หน่วย สามารถซื้อตัวเลขอ้างอิงได้ 100 หน่วย ทำให้เกิดการได้เสียมากกว่าการซื้อขายหุ้นธรรมดา 10 เท่า แต่ผู้ชำนาญอย่าง Hedge Funds มีหรือที่จะเสีย มีแต่ได้กับได้
มีรายงานที่น่าสนใจเรื่องทองคำ พบว่ามีการใช้ทองคำจริง (Consume) เพียง 1 ส่วน แต่การซื้อขายทองคำมีสูงกว่าการใช้จริงถึง 10 เท่า ซึ่งเป็นการซื้อขายตัวเลขอ้างอิงของราคาทองคำมากกว่า ตลาดอนุพันธ์สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง มีแต่ได้กับได้ ตลาดขึ้นก็ทำกำไรได้ ตลาดลงก็ทำกำไรได้ ทำให้ทุกวันนี้ Hedge Funds มั่งคั่งเหนือโลกเพียงกลุ่มเดียว
การย่อยยับของประเทศสหรัฐอเมริกาและยูโรโซน เป็นผลมาจากการที่พวกเขาเข้าใจว่าได้มีการพัฒนาตลาดทุนมากขึ้นนั่นเอง
Hedge Funds ได้เคยถล่มตลาดหุ้นจนทำให้ประเทศไทยต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศมาแล้วถึง 2 ครั้ง ตอนนี้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ได้เปิดซื้อขายตัวเลขอ้างอิง (Derivatives) เมื่อปี 2006 มีทั้งตัวเลขดัชนีอ้างอิง ตัวเลขหุ้นอ้างอิง ตัวเลขราคาทองคำอ้างอิง ตัวเลขราคาน้ำมันอ้างอิง และตัวเลขค่าเงินเหรียญสหรัฐอ้างอิง ส่งเสริมความมั่งคั่งของ Hedge funds คนท้องถิ่นและประเทศท้องถิ่นมีแต่เสียหาย ตลาดอนุพันธ์เป็นเครื่องมือทำลายเศรษฐกิจของประเทศไทยตัวล่าสุด จะทำให้เศรษฐกิจไทยย่อยยับในวันข้างหน้า คล้ายความย่อยยับทางเศรษฐกิจที่เกิดกับประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในภูมิภาคยุโรปนั่นเอง
ผู้เขียนจะไม่ตำหนิ Hedge Funds ต่อความย่อยยับที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต แต่ผู้เขียนตำหนิความอ่อนด้อยทางวิสัยทัศน์ปรัชญารวมทั้งคุณธรรมและจริยธรรมของกระทรวงการคลัง กลต. และ ตลท.มากกว่า
กลับมาพิจารณาความเสียหายทางเศรษฐกิจของอเมริกา หลังปี 2000 เอกชนทั้งภาคการผลิตจริงและภาคการเงินล้มลงเป็นจำนวนมาก ตัวเลขคนตกงานพุ่งสูงขึ้นถึง 9-10 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประเทศอื่นๆ เรียกหนี้แบบนี้ว่าหนี้สาธารณะ แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกว่าเพดานหนี้
ปี 2000 เพดานหนี้ของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับ 5.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หลังการพังทลายของตลาดหุ้น NASDAQ ในปี 2000 เพดานหนี้ของประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นแบบรุนแรงและรวดเร็ว ปี 2012 เพดานหนี้ของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับ 16.39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 10.44 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือระยะเวลา 12 ปี เพดานหนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 2.75 เท่า กราฟของเพดานหนี้ยังคงชันขึ้นแบบ 45 องศา
ไม่เพียงเท่านั้น ธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกายังมีการพิมพ์เงินออกมาใช้อีก (Quantitative Easing) เรื่องเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความยับย่อยใน “ระบบเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา” ความเสียหายนี้ยังคงอยู่ ยังไม่สามารถยุติลงได้ พบว่าเวลานี้ยังคิดพิมพ์เงินออกมาใช้อยู่อีก (QE3)
QE1 ปริมาณ 1.725 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างช่วง 25 พฤศจิกายน 2008 ถึง 31 มีนาคม 2010 สำหรับซื้อพันธบัตรระยะยาว ซื้อ Mortgage-Backed Securities (BMS) ซื้อ Agency Bonds (Fannie Mae, Freddie Mac, Ginnie Mae, Federal Home Loan Banks)
QE2 ปริมาณ 0.767 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่าง 3 พฤศจิกายน 2010 ถึง 30 มิถุนายน 2011 สำหรับซื้อพันธบัตรระยะยาว และซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อ Principle Reinvestment
QE3 ปริมาณ 0.045 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน ตั้งแต่ 13 กันยายน 2012 เป็นต้นไป ไม่จำกัดจำนวนและเวลา (Open-ended) จนกว่าตัวเลขการจ้างงานจะฟื้นตัว เพื่อซื้อ Mortgage-Backed Securities (BMS) (สมมติว่าพิมพ์ออกมา 3 ปี ก็จะทำให้ปริมาณส่วนนี้1.62 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ)
รวมแล้วจะทำให้มีการพิมพ์เงินออกมาทั้งหมดประมาณ 4.112 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หากไม่มีการพิมพ์เงินออกมาใช้ ก็จะทำให้เพดานหนี้ของประเทศสหรัฐอเมริกาสูงกว่านี้อีก
ช่วง 12 ปีมานี้ เกิดหนี้ท่วมประเทศต่างๆ รวดเร็วมาก ไม่ว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อิตาลี สเปน กรีซ หลังปี 2008 มีประเทศของยูโรโซนเข้ารับความช่วยเหลือสภาพคล่องจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณ 10 ประเทศ บางประเทศผิดนัดชำระหนี้ บางประเทศขอตัดลดหนี้ลงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์
แต่เมื่อพิจารณาทุนสำรองเงินตราต่างประเทศองโลก ซึ่งรวมจากทุกประเทศ ประมาณ 155 ประเทศ พบว่าเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ปี 2008 ที่เกิด Hamburger Crisis ทุนสำรองของโลกก็เพิ่มขึ้น ปี 2004 ทุนสำรองโลกอยู่ที่ระดับ 3.34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2011 เพิ่มขึ้นมาเป็น 11.59 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ช่วงระยะเวลา 7 ปี เพิ่มขึ้นมา 3.47 เท่า ให้ความรู้สึกว่าโลกมั่งคั่งขึ้น น่าจะอยู่ดีมีสุขขึ้น ถามว่าโลกอยู่ดีมีสุขกันจริงหรือ พบว่าเดินขบวนและจลาจลกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะเกี่ยวเนื่องกับการตกงาน และค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ทุนสำรองของแต่ละประเทศในอดีตเกิดจากการนำเข้าและส่งออกสินค้า เกิดจากการท่องเที่ยว เกิดจากการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศเป็นสำคัญ หากส่งออกสินค้ามากกว่านำเข้า ก็จะทำให้ทุนสำรองของประเทศเพิ่มขึ้น หากส่งออกสินค้าได้น้อยกว่านำเข้า ก็จะทำให้ทุนสำรองของประเทศลดลง ถ้ามีต่างชาติมาเที่ยวหรือมาศึกษามากกว่าคนไทยไปเที่ยวหรือไปศึกษายังต่างประเทศ ก็จะทำให้ทุนสำรองของประเทศเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีต่างชาติมาเที่ยวหรือมาศึกษาน้อยกว่าคนไทยไปเที่ยวหรือไปศึกษายังต่างประเทศ ก็จะทำให้ทุนสำรองของประเทศลดลง ทุนสำรองแบบในอดีตจะเพิ่มขึ้นหรือจะลดไม่มาก
แต่ทุกวันนี้ผิดปกติ ส่วนใหญ่ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง จะเกิดจากเงินทุนไหลเข้าออกมาเก็งกำไรในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ เงินทุนไหลออกก็รุนแรงและรวดเร็ว เงินทุนไหลเข้าก็รุนแรงและรวดเร็ว ยกตัวอย่างประเทศไทย ที่ได้มีการเปิดตลาดซื้อขายตัวเลขอ้างอิง (Derivatives) ในปี 2549 (2006) ตัวเลขอ้างอิงตัวแรกที่นำมาทำเป็นสินค้าให้ซื้อขายคือ SET50 index futures ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรตลาดอนุพันธ์และตราสารหนี้รุนแรง เห็นได้จาก
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงขึ้น กระทั่งต้องออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหล เข้า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2006 แม้ก่อนหน้านี้จะมีการรัฐประหารก็ตาม ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเงินทุนไหลเข้าได้ วันที่ออกมาตรการกันสำสองเงินทุนไหลเข้า ทุนสำรองสุทธิของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทุกวันทุนสำรองสุทธิของประเทศไทยสูงกว่า 200 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเป็นตัวแสดงสภาพคล่องของประเทศ ถ้าตัวเลขของทุนสำรองสูง แสดงว่าสภาพคล่องของระบบสูง ถ้าตัวเลขของทุนสำรองตกต่ำลง แสดงว่าสภาพคล่องของระบบขาดแคลน
มาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าออกมาได้วันเดียวก็ต้องยุติลง เนื่องจากส่งผลให้ตลาดหุ้นตกวันเดียวถึง 100 จุด และได้ปล่อยเลยตามเลยมาจนถึงทุกวันนี้ การพ่ายแพ้ต่อการสกัดกั้นเงินทุนไหลเข้า ทำให้เงินทุนไหลเข้ามากขึ้นไปอีก ทำให้สภาพคล่องท่วมประเทศไทยมากขึ้นไปอีก ทำให้นักการเมืองละเลงสภาพคล่องของระบบอย่างเพลิดเพลิน
เงินบาทแข็งค่าขึ้น เงินบาทแข็งจากระดับ 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐในต้นปี 2006 มาเป็น 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐในปี 2007 เหตุบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพราะเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดอนุพันธ์อย่างรวดเร็วและรุนแรงนั่นเอง
เรื่องหนี้สินของประเทศต่างๆ หนึ่ง เรื่องทุนสำรองของโลกหนึ่ง เป็นตัวบอกว่า “มีส่วนที่เสียหายและมีส่วนที่ได้ประโยชน์ Zero sum games”
1) ส่วนที่เสียหายเป็นของประเทศต่างๆ เกิดจากตลาดหุ้นพังทลาย ค่าเงินพังทลาย สภาพคล่องเสียหาย เกิดการล้มละลายของธุรกิจ คนตกงาน หนี้เสียท่วมระบบ และเงินเฟ้อ
2) ส่วนที่ได้เป็นของบรรดา Hedge Funds ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยของระบบประมาณ 1% ของประชากรโลก ที่ได้เคลื่อนย้ายทุนเข้าไปเก็งกำไรอย่างง่ายดาย ในตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ดังเช่นการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้ามาเก็งกำไรในตลาดอนุพันธ์ของประเทศไทยในปี 2006
ทุนสำรองที่อยู่ตามประเทศต่างๆ ไม่ใช่ของประเทศต่างๆ เหล่านั้นไม่ แต่เป็นของบรรดา Hedge Funds นำมาฝากไว้ ที่พร้อมจะเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออกได้ตลอดเวลา
เศรษฐกิจโลกเบี่ยงเบนหนัก เรื่องหนี้สินของประเทศต่างๆ หนึ่ง เรื่องทุนสำรองของโลกหนึ่ง เป็นตัวบอกว่าหนี้ท่วมโลก ขณะเดียวกันเงินก็ท่วมโลกเช่นเดียวกัน และสามารถกล่าวได้ว่า เงินท่วมโลกแต่โลกยากจนลง
วิสัยทัศน์ของผู้บริหารระดับสูงทางการเงินของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าของประเทศสหรัฐอเมริกา ของกลุ่มยูโรโซน รวมทั้งของประเทศไทย เทียบชั้นไม่ได้กับของเหล่าบรรดา Hedge Funds ทุกวันนี้พวกเขาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างเดียว จึงยากที่ปัญหาของเศรษฐกิจโลกจะยุติลงได้ มีแต่จะซ้ำเติมให้ปัญหาเลวลงไปอีก ที่เข้าไม่แก้ที่ต้นเหตุเป็นเพราะความมักง่ายหนึ่ง และเพราะความไม่รู้ว่าต้นเหตุคืออะไรด้วย
สกุลเงินประเทศใดจะเป็นสะท้อนมูลค่าสินทรัพย์ประเทศนั้น การพิมพ์เงินสกุลใดออกมาใช้ จะทำให้ค่าเงินสกุลนั้นอ่อนค่าลง ดังที่แสดงค่าไว้ในตารางนี้ เงินนั้นจะไม่ได้รับความเชื่อมั่น ผู้คนจะลดการถือครองเงินสกุลนั้น หรือสินทรัพย์ของเงินสกุลนั้น
ภาพ ยืนยันว่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงจริง เมื่อธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศจะเอามาตรการ QE3 มาใช้เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2012 ดูเหมือนว่า USD index ไม่สามารถยืนระดับเดิมได้ แสดงอาการอ่อนค่า และค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐแสดงอาการที่แข็งค่าขึ้น ถ้าไม่เชื่อมั่นในค่าเงิน ดอกเบี้ยจะต่ำอย่างไร คนก็ไม่กล้าลงทุน รวมทั้งการจ้างงานก็เพิ่มขึ้นได้ยากด้วย
การที่เงินของประเทศใดอ่อนค่าลง ก็แสดงว่าเศรษฐกิจประเทศนั้นมีปัญหา ยากจนลง การพิมพ์เงินออกมาใช้ของสหรัฐอเมริกา เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จะทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาและของโลกไม่สามารถยุติลงได้ อาจจะยุติได้ชั่วคราว แล้วมันจะกลับมาใหม่
******************
https://plus.google.com/u/0/?tab=wX#communities/110190159386479613691
http://twitter.com/indexthai2
indexthai2@gmail.com