ASTV ผู้จัดการรายวัน – โล่ง!ปัญหา fiscal cliff นักลงทุนแห่ซื้อดันดัชนีหุ้นไทยประเดิมเทรดวันแรกรับปีมะเส็งปิดบวก 15 จุด ปิดที่ 1,407.45 จุด สูงสุดในรอบเกือบ 17 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯชี้การแก้ไขปัญหาหน้าผาการคลัง ช่วยผ่อนคลายความกังวลนักลงทุน โบรกฯเตือนแค่ยืดเวลา จึงเป็นเพียงปัจจัยบวกระยะสั้น นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้
ดัชนีตลาดหุ้นไทยในการซื้อขายวันแรกของปี 2556 (2ม.ค.) ปรับตัวอยู่ในแดนบวกตั้งแต่การซื้อขายในช่วงเช้า ในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกที่ขานรับข่าวดีการคลี่คลายวิกฤตหน้าผาการคลังสหรัฐฯ โดยปิดที่ระดับ 1,407.45 จุด เพิ่มขึ้น 15.52 จุด หรือ 1.11% มูลค่าการซื้อขาย 38,703.29 ล้านบาท
ระหว่างวันดัชนี ปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,411.58 จุด และต่ำสุดที่ 1,400.95 จุด หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 435 หลักทรัพย์ ลดลง 175 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 133 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ AAV มูลค่าการซื้อขาย 1,523.25 ล้านบาท ปิดที่ 5.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.51 บาท ITD มูลค่าการซื้อขาย 1,272.88 ล้านบาท ปิดที่ 4.56 บาท เพิ่มขึ้น 0.36 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,185.59 ล้านบาท ปิดที่ 337.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,183.66 ล้านบาท ปิดที่ 209.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง และ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,143.96 ล้านบาท ปิดที่ 166.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
ขณะที่การซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 721.82 ล้านบาท ตามมาด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 377.94 ล้านบาท และ สถาบันซื้อสุทธิ 8.48 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปเป็นผู้ขายสุทธิ 1,108.23 ล้านบาท
นายจรัมพร โชติเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสาเหตุที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) วันนี้ (วันพุธที่ 2 มกราคม 2556) ปิดปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกซึ่งส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1 - 3% โดย SET Index ปิดปรับเพิ่มขึ้น 1.11% หรือ 15.52 จุด มาปิดที่ 1,407.45 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี 11 เดือน (จากเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2539 ซึ่งปิดที่ 1,408 จุด)
โดยการปรับขึ้นของ SET Index ได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังวุฒิสมาชิกและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาให้ความเห็นชอบความตกลงใหม่ด้านภาษีและงบประมาณรายจ่ายภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งคลายความกังวลของผู้ลงทุน และเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลก ขณะที่ตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของจีนที่ประกาศออกมาเมื่อสุดสัปดาห์ชี้ถึงทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปี 2555 SET Index ปรับเพิ่มขึ้นถึง 37% ขณะที่ P/E ratio อยู่ในระดับสูงที่ 18.25 เท่า ผู้ลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการซื้อขาย พิจารณาที่ปัจจัยพื้นฐาน และติดตามข้อมูลสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวในทิศทางบวก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า ตอบรับความกังวลเกี่ยวกับการแก้ปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐฯเริ่มคลี่คลายลง ซึ่งเป็นปัจจัยในระยะสั้น แต่หลังจากจบประเด็นดังกล่าว นักลงทุนยังคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯและจีนว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องอย่างไร และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไรในปีนี้
สำหรับ แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(3 ม.ค.) ประเมินว่า ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินต่างประเทศที่เข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทย หากเข้ามาค่อนข้างหนาแน่น ก็มีโอกาสที่จะช่วยผลักดันให้ดัชนีเคลื่อนในทิศทางบวกต่อไปได้ แต่หากเป็นการขายมากกว่าก็จะกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลง ดังนั้นหากดัชนีสามารถยืนเหนือ 1,385 จุดได้ นักลงทุนก็ยังสามารถถือหุ้นต่อไปได้ แต่หากดัชนีฯต่ำกว่า 1,385 จุดแนะนำให้เริ่มทยอยขาย
ดัชนีตลาดหุ้นไทยในการซื้อขายวันแรกของปี 2556 (2ม.ค.) ปรับตัวอยู่ในแดนบวกตั้งแต่การซื้อขายในช่วงเช้า ในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกที่ขานรับข่าวดีการคลี่คลายวิกฤตหน้าผาการคลังสหรัฐฯ โดยปิดที่ระดับ 1,407.45 จุด เพิ่มขึ้น 15.52 จุด หรือ 1.11% มูลค่าการซื้อขาย 38,703.29 ล้านบาท
ระหว่างวันดัชนี ปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,411.58 จุด และต่ำสุดที่ 1,400.95 จุด หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 435 หลักทรัพย์ ลดลง 175 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 133 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ AAV มูลค่าการซื้อขาย 1,523.25 ล้านบาท ปิดที่ 5.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.51 บาท ITD มูลค่าการซื้อขาย 1,272.88 ล้านบาท ปิดที่ 4.56 บาท เพิ่มขึ้น 0.36 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,185.59 ล้านบาท ปิดที่ 337.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,183.66 ล้านบาท ปิดที่ 209.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง และ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,143.96 ล้านบาท ปิดที่ 166.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
ขณะที่การซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 721.82 ล้านบาท ตามมาด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 377.94 ล้านบาท และ สถาบันซื้อสุทธิ 8.48 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปเป็นผู้ขายสุทธิ 1,108.23 ล้านบาท
นายจรัมพร โชติเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสาเหตุที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) วันนี้ (วันพุธที่ 2 มกราคม 2556) ปิดปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกซึ่งส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1 - 3% โดย SET Index ปิดปรับเพิ่มขึ้น 1.11% หรือ 15.52 จุด มาปิดที่ 1,407.45 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี 11 เดือน (จากเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2539 ซึ่งปิดที่ 1,408 จุด)
โดยการปรับขึ้นของ SET Index ได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังวุฒิสมาชิกและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาให้ความเห็นชอบความตกลงใหม่ด้านภาษีและงบประมาณรายจ่ายภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งคลายความกังวลของผู้ลงทุน และเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลก ขณะที่ตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของจีนที่ประกาศออกมาเมื่อสุดสัปดาห์ชี้ถึงทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปี 2555 SET Index ปรับเพิ่มขึ้นถึง 37% ขณะที่ P/E ratio อยู่ในระดับสูงที่ 18.25 เท่า ผู้ลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการซื้อขาย พิจารณาที่ปัจจัยพื้นฐาน และติดตามข้อมูลสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวในทิศทางบวก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า ตอบรับความกังวลเกี่ยวกับการแก้ปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐฯเริ่มคลี่คลายลง ซึ่งเป็นปัจจัยในระยะสั้น แต่หลังจากจบประเด็นดังกล่าว นักลงทุนยังคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯและจีนว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องอย่างไร และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไรในปีนี้
สำหรับ แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(3 ม.ค.) ประเมินว่า ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินต่างประเทศที่เข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทย หากเข้ามาค่อนข้างหนาแน่น ก็มีโอกาสที่จะช่วยผลักดันให้ดัชนีเคลื่อนในทิศทางบวกต่อไปได้ แต่หากเป็นการขายมากกว่าก็จะกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลง ดังนั้นหากดัชนีสามารถยืนเหนือ 1,385 จุดได้ นักลงทุนก็ยังสามารถถือหุ้นต่อไปได้ แต่หากดัชนีฯต่ำกว่า 1,385 จุดแนะนำให้เริ่มทยอยขาย