xs
xsm
sm
md
lg

โล่ง! fiscal cliff หุ้นประเดิมปี 56 พุ่ง 15 จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โล่ง! ปัญหา fiscal cliff นักลงทุนแห่ซื้อดันดัชนีหุ้นไทยประเดิมเทรดวันแรกรับปีมะเส็งปิดบวก 15 จุด ปิดที่ 1,407.45 จุด สูงสุดในรอบเกือบ 17 ปี  ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้การแก้ไขปัญหาหน้าผาการคลังช่วยผ่อนคลายความกังวลนักลงทุน โบรกฯ เตือนแค่ยืดเวลา จึงเป็นเพียงปัจจัยบวกระยะสั้น พบเม็ดเงินทะลักเข้ากดดันค่าบาทแข็งค่าสุดในรอบ 11 เดือน

    ดัชนีตลาดหุ้นไทยในการซื้อขายวันแรกของปี 2556 (2 ม.ค.) ปรับตัวอยู่ในแดนบวกตั้งแต่การซื้อขายในช่วงเช้า ในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกที่ขานรับข่าวดีการคลี่คลายวิกฤตหน้าผาการคลังสหรัฐฯ โดยปิดที่ระดับ 1,407.45 จุด เพิ่มขึ้น 15.52 จุด หรือ 1.11% มูลค่าการซื้อขาย 38,703.29 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,411.58 จุด และต่ำสุดที่ 1,400.95 จุด
    ขณะที่การซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 721.82 ล้านบาท ตามมาด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 377.94 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 8.48 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปเป็นผู้ขายสุทธิ 1,108.23 ล้านบาท
   
     นายจรัมพร โชติเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสาเหตุที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) วานนี้ (2 ม.ค.) ปิดปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1-3% โดย SET Index ปิดปรับเพิ่มขึ้น 1.11% หรือ 15.52 จุด มาปิดที่ 1,407.45 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี 11 เดือน (จากเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2539 ซึ่งปิดที่ 1,408 จุด)
 
    โดยการปรับขึ้นของ SET Index ได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังวุฒิสมาชิก และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาให้ความเห็นชอบความตกลงใหม่ด้านภาษี และงบประมาณรายจ่ายภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งคลายความกังวลของผู้ลงทุน และเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และเศรษฐกิจโลก ขณะที่ตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของจีนที่ประกาศออกมาเมื่อสุดสัปดาห์ชี้ถึงทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเช่นกัน
   
    อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปี 2555 SET Index ปรับเพิ่มขึ้นถึง 37% ขณะที่ P/E ratio อยู่ในระดับสูงที่ 18.25 เท่า ผู้ลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการซื้อขาย พิจารณาที่ปัจจัยพื้นฐาน และติดตามข้อมูลสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน
    
    น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวในทิศทางบวก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า ตอบรับความกังวลเกี่ยวกับการแก้ปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐฯ เริ่มคลี่คลายลง ซึ่งเป็นปัจจัยในระยะสั้น แต่หลังจากจบประเด็นดังกล่าว นักลงทุนยังคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีนว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องอย่างไร และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไรในปีนี้
   
    สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (3 ม.ค.) ประเมินว่า ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินต่างประเทศที่เข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทย หากเข้ามาค่อนข้างหนาแน่นก็มีโอกาสที่จะช่วยผลักดันให้ดัชนีเคลื่อนในทิศทางบวกต่อไปได้ แต่หากเป็นการขายมากกว่าก็จะกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลง ดังนั้น หากดัชนีสามารถยืนเหนือ 1,385 จุดได้ นักลงทุนก็ยังสามารถถือหุ้นต่อไปได้ แต่หากดัชนีฯ ต่ำกว่า 1,385 จุดแนะนำให้เริ่มทยอยขาย

เงินทุนไหลเข้า-บาทแข็งค่าสุดรอบ 11 เดือน
    นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวานนี้เปิดตลาดที่ระดับ 30.51-30.53 บาทต่อดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 30.60-30.62 บาทต่อดอลลาร์ โดยตลาดติดตามการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) และในระหว่างวันก็ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเงินบาทปรับตัวแข็งค่ามากสุดในรอบ 11 เดือน นับตั้งแต่เดือน ก.พ.55 ในระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.33-30.52 บาทต่อดอลลาร์ และปิดตลาดที่ 30.36-30.38 บาท

 “เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง น่าจะมีเงินทุนไหลมาจากต่างประเทศ ซึ่งก็คงต้องดูที่การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นว่าเป็นอย่างไร มีการลงทุนจากต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็มีผลกระทบต่อผู้ส่งออกในระดับหนึ่ง”
กำลังโหลดความคิดเห็น