ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ว่ากันว่า คนเล่นหุ้น เป็นพวกขี้ตกใจ อ่อนไหวง่าย พอมีเรื่องอะไรที่จะเป็นข่าวใหญ่ หรือมีเหตุรุนแรง จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการลงทุนหรือไม่ ก็ตาม แต่มักส่งผลต่อตลาดหุ้นเสมอ
และก็มีคนกลุ่มหนึ่งรู้จุดอ่อนนี้ จึงใช้วิธีข่าวเพื่อหวังผล เพื่อให้ตลาดเป็นไปในทางที่ตนเองต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลักษณะการทุบหุ้น และเรื่องหนึ่งที่มักถูกนำมาปล่อย ก็คือเรื่องเกี่ยวกับสถาบันฯ ทั้งที่รู้ว่าเสียงต่อการถูกติดตามจับกุม แต่ก็ยังทำ เพราะรู็ว่าได้ผล เพราะเป็นเรื่องที่อ่อนไหว กระทบจิตใจคนไทย
และเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญา ก็ได้ตัดสินคนทำผิดในลักษระนี้ด้วยการจำคุก 6 ปี
ซึ่งคดีดังกล่าว เป็นคดีดำ อ.2337/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายคธา ปาจริยพงษ์ อายุ 36 ปี พนักงานฝ่ายการตลาด บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง เป็นจำเลยในความผิด ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14
ตามฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 54 ระบุ ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 52 และวันที่ 14-15 ต.ค. 52 จำเลยได้นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ชื่อว่า wet Dream ส่งเป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) จนทำให้ประชาชนทั่วไปที่ทราบข้อความดังกล่าว เข้าใจว่า พระมหากษัตริย์ทรงโปรดแต่พวกเสื้อเหลือง และสมเด็จพระเทพฯ ก็เหมือนพระมหากษัตริย์ ที่ทรงโปรดแต่พวกเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ และพระมหากษัตริย์ป่วยหนัก และยังโยงกับการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์
เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. และที่อื่นทั่วราชอาณาจักรไทย จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวน แต่ปฏิเสธชั้นศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ศูนย์กลางความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบ IP ADDRESS พบความถี่จากการเก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ของจำเลย ปรากฏว่า มีการกดเข้าเว็บไซต์กว่า 29,000 ครั้ง จึงไม่น่าเชื่อว่า จำเลยจะเพียงแต่ดูข้อความเพียงอย่างเดียว ซึ่งพยานโจทก์ต่างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และไม่รู้จักหรือมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่า พยานโจทก์จะต่อเติมหรือตัดทอนข้อความให้ร้ายจำเลย ขณะเดียวกัน เมื่อถูกจับกุมแล้วจำเลยก็ให้การรับสารภาพถึง 3 ครั้ง โดยจำเลยไม่ได้นำพยานสืบหักล้าง
ที่จำเลยต่อสู้คดีว่า ช่วงเวลาที่มีการโพสต์ข้อความนั้น ไปสัมมนาต่างจังหวัด ไม่มีคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์ที่จะโพสต์ข้อความได้ เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เป็นเพราะจำเลยขาดความรับผิดชอบ จะอ้างว่าเป็นเพียงข่าวลือไม่ได้ เพราะจำเลยทำงานเกี่ยวกับการลงทุน ต้องระมัดระวังในการโพสต์ข้อความที่จะเป็นเท็จ
พิพากษาว่า การกระทำของจำเลย เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกจำเลยรวม 2 กระทงๆ 3 ปี เป็นจำคุก 6 ปี คำรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน3 คงจำคุกจำเลยไว้ 4 ปี
