ฉบับส่งท้ายปีเก่า 2555 อันเป็นปีที่ 80 แห่งความจัญไรของชาติ เหตุแห่งความชั่วร้ายทั้งหมดเพราะความเห็นผิด คิดผิด ทำผิดของคณะผู้ปกครองชุดแล้วชุดเล่า ที่มองเห็นรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ดังคำกล่าวจัญไรที่ว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” หรือ “ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นประชาธิปไตย”และยังมีเห็นผิดอย่างร้ายแรงของคณะผู้ปกครองที่พูด และเขียนว่า“ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ความถูกต้องในทางรัฐศาสตร์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ใช่ประมุขระบอบฯ จึงเป็นการพูด การเขียนที่ลิดรอนทำลายพระบรมเดชานุภาพและสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ต่ำลง เป็นการเห็นผิด พูดผิดตามๆ กันมาโดยมิได้มีความรู้และไตร่ตรองให้ถูกต้องและฉุกคิดกันแม้แต่น้อย
โดยปกติธรรมดามนุษย์เป็นสัตว์สังคม จุดหมายของบุคคลจะต้องมี 2 ลักษณะ กล่าวคือ จุดหมายของบุคคลหรือปัจเจกชน (Individual) มีลักษณะแตกต่างหลากหลาย 64 ล้านคนก็มี 64 ล้านจุดหมาย ดังรูป
ในขณะเดียวกันในฐานะประชาชนพลเมืองของรัฐจะต้องมีจุดหมายร่วมกันและเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแห่งชาติร่วมกัน ร่วมกันรับผิดชอบต่อชาติ
นอกจากนี้ยังมีจุดยืนพิเศษคือเพื่อมนุษยชาติหรือเพื่อชาติ โดยมีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระมหากษัตริย์ เป็นตัวอย่าง โดยมีจุดยืนที่มีแต่ให้ ปราศจากตัณหา ความโลภหรือความทะยานอยากได้ใดๆ ทั้งสิ้น ดังมีตัวอย่างคือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงมีโครงการพระราชดำริร่วม 6,000 โครงการ ดังรูป
จะเห็นได้ว่าแม้ทุกฝ่ายต่างก็จะเรียกร้องให้มีความรู้รักสามัคคี มีความปรองดองของคนในชาติ แต่กลับมีความแตกแยกของชนในชาติมากขึ้นๆ เป็นลำดับ ทั้งนี้ ปัญหาอันใหญ่หลวงของชาติ คือ เราไม่มีจุดหมายร่วมหรือเราไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีระบอบฯ โดยธรรม นั่นเอง
เพราะความเข้าใจผิดว่าเราเป็นประชาธิปไตยมาแล้ว 80 ปี แต่สภาวการณ์ที่เป็นจริงคือ มันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ มีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งอันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งทางการเมือง เป็นเหตุแห่งความขัดแย้งทางสังคม เป็นเหตุแห่งคอร์รัปชันอย่างมหาศาล เป็นเหตุแห่งอิทธิพลมืด เป็นเหตุแห่งอบายมุขท่วมทับประชาชนไทย ประเทศไทยจึงดุจดังหนองน้ำเน่าและมีฝูงปลาปิรันย่าคอยกัดกินอย่างเอาเปรียบสังคมที่สุด
แต่ละฝ่ายก็ล้วนแล้วแต่หลอกลวงประชาชน ทั้งนี้เพราะไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลปูนิ่ม แดงทักษิณ หรือฝ่ายค้าน ส่วนประชาชนก็ถูกหลอก ถูกจ้าง ให้เป็นทาสรับใช้ทางการเมืองมาตลอดกว่า80 ปี ตื่นกันเสียทีเถิด Copy บทความแจกจ่ายให้ปัญญาแก่เพื่อนร่วมชาติ
จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสุดๆ ร้ายกาจสุดๆ เห็นผิดสุดๆ เป็นเล่ห์กลของคณะเผด็จการ อยู่ๆ ก็บัญญัติคำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” ไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1 บททั่วไป
“มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ในยุคจอมเผด็จการโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
หากปัญญาชนคนดีของชาติได้ฉุกคิดสักนิดเถิดว่า ระบอบประชาธิปไตยมันจะเกิดขึ้นด้วยการบัญญัติขึ้นในกฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงเท่านี้หรือ จะเห็นว่าผู้ปกครองฯ มันโง่ๆ ตามๆ กันมาและหลอกลวงตามๆ กัน ไม่มีการหลอกลวงใดที่ร้ายกาจและยาวนานที่สุด เท่ากับการหลอกว่าร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย
จากนั้น...ผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรม ฉบับปี พ.ศ. 2511, 2517, 2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามๆ สืบเนื่องกันมาอย่างหน้ามืดตามัว เป็นทายาทอสูรจัญไรของชาติจริงๆ โดยมิได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่น้อย สร้างความหายนะให้กับชาติอย่างไม่จบสิ้น
พลเอกเปรม แกนนำฯ กรุณารับฟังด้วยเถิด แนวทางการสร้าง หรือการสถาปนาระบอบฯ ของพสกนิกรผู้จงรักภักดีที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ของชาติไทยเรานั้นกองอยู่ตรงหน้าแล้ว คือ
1) พระเจ้าแผ่นดิน ทรงมีพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ทรงสถาปนาระบอบโดยธรรม หรือหลักการเมืองการปกครองโดยธรรม (Principle of Government) อันเป็นรากฐาน แก่นแท้ของชาติ สร้างความเป็นธรรมแก่ปวงชนในชาติเป็นจุดหมาย เป็นเป้าหมายร่วมกันของปวงชนในชาติ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของชาติ (Supreme Law) เป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ โดยโอบอุ้มคุ้มครองให้ความยุติธรรมทุกส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ดังจุดเริ่มต้นในลักษณะดังนี้
อันมีลักษณะภาพรวมดังนี้
2) เว้นแต่พระมหากษัตริย์ ไม่สามารถจะทรงพระราชกรณียกิจได้ด้วยเพราะเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผู้นำแห่งการจงรักภักดีและประชาชน จะต้องร่วมมือร่วมใจกันเสนอ ผลักดันนโยบายสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม อันเป็นจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดำเนินขั้นตอนที่ 3 ต่อไป
3) ดำเนินปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นวิธีการปกครอง (Methods of Government) ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เราได้เสนอหลักการและวิธีการเป็นตัวอย่างเบื้องต้น โดยมี ธรรมนำชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อันเป็นรากฐาน แก่นแท้ของชาติแต่โบราณกาล ดังนี้
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ (เขียนให้ทราบว่ารูปลักษณ์ของประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร อย่าเอาแนวคิด การเมืองในประเทศสาธารณรัฐมาใช้ ต้องแยกแยะให้ถูก ทุกวันนี้ผู้ปกครอง นักการเมืองไทย มั่ว สับสนไปหมด)
มาตรา 2 ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งชาติ และศาสนาที่รัฐรับรองคือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาซิกข์ ได้รับการคุ้มครองและอุปถัมภ์จากรัฐ
มาตรา 3 ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (เขียนเพื่อป้องกันไม่ให้หลงเข้าใจผิดว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขระบอบฯ ซึ่งเป็นการลิดรอนบ่อนทำลายพระบรมเดชานุภาพให้ต่ำลง โดยไม่รู้ตัวก็ตาม)
(ทั้งนี้เพื่อยืนยันการจัดความสัมพันธ์อย่างถูกต้องระหว่างหลักการปกครองกับวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญโปรดจำไว้ว่า หลักการปกครองหรือระบอบ ต้องเกิดก่อนรัฐธรรมนูญเป็นเหตุของรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องโปรดจำไว้ว่าลัทธิเผด็จการทุกชนิดไม่สามารถเปิดเผยหลักการปกครองใดๆ ได้ เพราะพวกเขายึดมั่นในลัทธิเผด็จการฯ แต่เอาวิธีการเลือกตั้งมาบังหน้าขโมยอำนาจอธิปไตยของปวงชนไปใช้ปล้นชาติเพื่อโคตรตระกูลของพวกรัฐบาล ผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว
จะเห็นได้ว่าแท้ที่จริงแล้วระบอบฯ หรือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย มีลักษณะศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งยวดของปวงชนซ้อนอยู่อย่างน้อย 7 ประการดังนี้
1) เป็นแก่นแท้รากฐานอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของชาติ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) ยกขึ้นเป็นหลักการปกครองโดยธรรม
2) เป็นธรรมหรือเป็นหลักการแท้ที่ไม่ตายหรือไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหัวใจของปวงชนทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม
3) เป็นจุดหมายร่วมทางการเมืองเศรษฐกิจ สังคมของปวงชน
4) เป็นศูนย์กลางเป็นเอกภาพของปวงชน
5) เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุด (Supreme Law) ของปวงชน
6) เป็นหลักนิติธรรมแห่งชาติ
7) เป็นเหตุหรือบ่อเกิดแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายทุกระดับ
เปลี่ยนการเมืองประชาชนที่เคยอยู่ใต้อุ้งตีนพรรค และนักการเมืองชั่ว มาเป็นการเมืองของประชาชนคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันมีพระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานให้ จะทำให้ประชาชนมีปัญญาทางการเมืองอย่างง่ายดาย ไม่สับสนในความสัมพันธ์ทางการเมืองของปวงชนในชาติ ทั้งจะเป็นการขจัดเงื่อนไข และความไม่เป็นธรรมทั้งปวงและความขัดแย้งภายในชาติ เช่น การจลาจลทางการเมือง การก่อการร้าย และความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นต้น)
มาตรา 5 ประเทศไทยใช้รูปการปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) (เขียนยืนยันให้ประชาชนทราบว่ารูปการปกครองที่เหมาะสมกับราชอาณาจักรคือ ระบบรัฐสภา กล่าวโดยย่อ เป็นระบบรวมอำนาจ แยกกันทำหน้าที่คือฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ต้องเป็นสมาชิกรัฐสภา แต่แยกกันไปทำหน้าที่เพื่อถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เพื่อป้องกันการบิดเบือน มั่ว ไปใช้รูปการปกครองอื่น เช่น ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ หรือระบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) มีฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันพวกที่คิดจ้องจะทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในทุกรูปแบบมากขึ้นทุกที)
เพียงเท่านี้ คือการร่วมกันสร้างสรรค์ชาติอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจ บารมี มีดวงตาเห็นธรรม ก็เริ่มต้นเป็นผู้นำได้ทันที นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการดับเหตุวิกฤตของชาติอันยาวนานกว่า 80 ปี ปัญหาอื่นๆ ปัญหาบุคคล ก็จะแก้ไขลงได้อย่างง่ายดาย...
สิ่งที่เป็นภัยร้ายแรงที่สุดของชาติคือ รัฐบาลกำลังหลงทางไปคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว เราเตือนแล้วว่าแผนปรองดองของรัฐบาลเป็นปัญหาปลายเหตุและต้องล้มเหลวซ้ำรอยเดิม ประชาชนถูกหลอกไปเป็นทาสรับใช้ทางการเมืองเช่นเดิม ขอให้ตื่นกับประเทศด้วยเถิด (ผู้รักชาติ ปัญญาชน Copy แจกให้เพื่อนๆ อย่างกว้างขว้างที่สุด)
ความถูกต้องในทางรัฐศาสตร์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ใช่ประมุขระบอบฯ จึงเป็นการพูด การเขียนที่ลิดรอนทำลายพระบรมเดชานุภาพและสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ต่ำลง เป็นการเห็นผิด พูดผิดตามๆ กันมาโดยมิได้มีความรู้และไตร่ตรองให้ถูกต้องและฉุกคิดกันแม้แต่น้อย
โดยปกติธรรมดามนุษย์เป็นสัตว์สังคม จุดหมายของบุคคลจะต้องมี 2 ลักษณะ กล่าวคือ จุดหมายของบุคคลหรือปัจเจกชน (Individual) มีลักษณะแตกต่างหลากหลาย 64 ล้านคนก็มี 64 ล้านจุดหมาย ดังรูป
ในขณะเดียวกันในฐานะประชาชนพลเมืองของรัฐจะต้องมีจุดหมายร่วมกันและเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแห่งชาติร่วมกัน ร่วมกันรับผิดชอบต่อชาติ
นอกจากนี้ยังมีจุดยืนพิเศษคือเพื่อมนุษยชาติหรือเพื่อชาติ โดยมีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระมหากษัตริย์ เป็นตัวอย่าง โดยมีจุดยืนที่มีแต่ให้ ปราศจากตัณหา ความโลภหรือความทะยานอยากได้ใดๆ ทั้งสิ้น ดังมีตัวอย่างคือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงมีโครงการพระราชดำริร่วม 6,000 โครงการ ดังรูป
จะเห็นได้ว่าแม้ทุกฝ่ายต่างก็จะเรียกร้องให้มีความรู้รักสามัคคี มีความปรองดองของคนในชาติ แต่กลับมีความแตกแยกของชนในชาติมากขึ้นๆ เป็นลำดับ ทั้งนี้ ปัญหาอันใหญ่หลวงของชาติ คือ เราไม่มีจุดหมายร่วมหรือเราไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีระบอบฯ โดยธรรม นั่นเอง
เพราะความเข้าใจผิดว่าเราเป็นประชาธิปไตยมาแล้ว 80 ปี แต่สภาวการณ์ที่เป็นจริงคือ มันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ มีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งอันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งทางการเมือง เป็นเหตุแห่งความขัดแย้งทางสังคม เป็นเหตุแห่งคอร์รัปชันอย่างมหาศาล เป็นเหตุแห่งอิทธิพลมืด เป็นเหตุแห่งอบายมุขท่วมทับประชาชนไทย ประเทศไทยจึงดุจดังหนองน้ำเน่าและมีฝูงปลาปิรันย่าคอยกัดกินอย่างเอาเปรียบสังคมที่สุด
แต่ละฝ่ายก็ล้วนแล้วแต่หลอกลวงประชาชน ทั้งนี้เพราะไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลปูนิ่ม แดงทักษิณ หรือฝ่ายค้าน ส่วนประชาชนก็ถูกหลอก ถูกจ้าง ให้เป็นทาสรับใช้ทางการเมืองมาตลอดกว่า80 ปี ตื่นกันเสียทีเถิด Copy บทความแจกจ่ายให้ปัญญาแก่เพื่อนร่วมชาติ
จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสุดๆ ร้ายกาจสุดๆ เห็นผิดสุดๆ เป็นเล่ห์กลของคณะเผด็จการ อยู่ๆ ก็บัญญัติคำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” ไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1 บททั่วไป
“มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ในยุคจอมเผด็จการโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
หากปัญญาชนคนดีของชาติได้ฉุกคิดสักนิดเถิดว่า ระบอบประชาธิปไตยมันจะเกิดขึ้นด้วยการบัญญัติขึ้นในกฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงเท่านี้หรือ จะเห็นว่าผู้ปกครองฯ มันโง่ๆ ตามๆ กันมาและหลอกลวงตามๆ กัน ไม่มีการหลอกลวงใดที่ร้ายกาจและยาวนานที่สุด เท่ากับการหลอกว่าร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย
จากนั้น...ผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรม ฉบับปี พ.ศ. 2511, 2517, 2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามๆ สืบเนื่องกันมาอย่างหน้ามืดตามัว เป็นทายาทอสูรจัญไรของชาติจริงๆ โดยมิได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่น้อย สร้างความหายนะให้กับชาติอย่างไม่จบสิ้น
พลเอกเปรม แกนนำฯ กรุณารับฟังด้วยเถิด แนวทางการสร้าง หรือการสถาปนาระบอบฯ ของพสกนิกรผู้จงรักภักดีที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ของชาติไทยเรานั้นกองอยู่ตรงหน้าแล้ว คือ
1) พระเจ้าแผ่นดิน ทรงมีพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ทรงสถาปนาระบอบโดยธรรม หรือหลักการเมืองการปกครองโดยธรรม (Principle of Government) อันเป็นรากฐาน แก่นแท้ของชาติ สร้างความเป็นธรรมแก่ปวงชนในชาติเป็นจุดหมาย เป็นเป้าหมายร่วมกันของปวงชนในชาติ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของชาติ (Supreme Law) เป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ โดยโอบอุ้มคุ้มครองให้ความยุติธรรมทุกส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ดังจุดเริ่มต้นในลักษณะดังนี้
อันมีลักษณะภาพรวมดังนี้
2) เว้นแต่พระมหากษัตริย์ ไม่สามารถจะทรงพระราชกรณียกิจได้ด้วยเพราะเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผู้นำแห่งการจงรักภักดีและประชาชน จะต้องร่วมมือร่วมใจกันเสนอ ผลักดันนโยบายสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม อันเป็นจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดำเนินขั้นตอนที่ 3 ต่อไป
3) ดำเนินปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นวิธีการปกครอง (Methods of Government) ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เราได้เสนอหลักการและวิธีการเป็นตัวอย่างเบื้องต้น โดยมี ธรรมนำชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อันเป็นรากฐาน แก่นแท้ของชาติแต่โบราณกาล ดังนี้
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ (เขียนให้ทราบว่ารูปลักษณ์ของประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร อย่าเอาแนวคิด การเมืองในประเทศสาธารณรัฐมาใช้ ต้องแยกแยะให้ถูก ทุกวันนี้ผู้ปกครอง นักการเมืองไทย มั่ว สับสนไปหมด)
มาตรา 2 ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งชาติ และศาสนาที่รัฐรับรองคือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาซิกข์ ได้รับการคุ้มครองและอุปถัมภ์จากรัฐ
มาตรา 3 ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (เขียนเพื่อป้องกันไม่ให้หลงเข้าใจผิดว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขระบอบฯ ซึ่งเป็นการลิดรอนบ่อนทำลายพระบรมเดชานุภาพให้ต่ำลง โดยไม่รู้ตัวก็ตาม)
(ทั้งนี้เพื่อยืนยันการจัดความสัมพันธ์อย่างถูกต้องระหว่างหลักการปกครองกับวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญโปรดจำไว้ว่า หลักการปกครองหรือระบอบ ต้องเกิดก่อนรัฐธรรมนูญเป็นเหตุของรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องโปรดจำไว้ว่าลัทธิเผด็จการทุกชนิดไม่สามารถเปิดเผยหลักการปกครองใดๆ ได้ เพราะพวกเขายึดมั่นในลัทธิเผด็จการฯ แต่เอาวิธีการเลือกตั้งมาบังหน้าขโมยอำนาจอธิปไตยของปวงชนไปใช้ปล้นชาติเพื่อโคตรตระกูลของพวกรัฐบาล ผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว
จะเห็นได้ว่าแท้ที่จริงแล้วระบอบฯ หรือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย มีลักษณะศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งยวดของปวงชนซ้อนอยู่อย่างน้อย 7 ประการดังนี้
1) เป็นแก่นแท้รากฐานอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของชาติ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) ยกขึ้นเป็นหลักการปกครองโดยธรรม
2) เป็นธรรมหรือเป็นหลักการแท้ที่ไม่ตายหรือไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหัวใจของปวงชนทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม
3) เป็นจุดหมายร่วมทางการเมืองเศรษฐกิจ สังคมของปวงชน
4) เป็นศูนย์กลางเป็นเอกภาพของปวงชน
5) เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุด (Supreme Law) ของปวงชน
6) เป็นหลักนิติธรรมแห่งชาติ
7) เป็นเหตุหรือบ่อเกิดแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายทุกระดับ
เปลี่ยนการเมืองประชาชนที่เคยอยู่ใต้อุ้งตีนพรรค และนักการเมืองชั่ว มาเป็นการเมืองของประชาชนคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันมีพระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานให้ จะทำให้ประชาชนมีปัญญาทางการเมืองอย่างง่ายดาย ไม่สับสนในความสัมพันธ์ทางการเมืองของปวงชนในชาติ ทั้งจะเป็นการขจัดเงื่อนไข และความไม่เป็นธรรมทั้งปวงและความขัดแย้งภายในชาติ เช่น การจลาจลทางการเมือง การก่อการร้าย และความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นต้น)
มาตรา 5 ประเทศไทยใช้รูปการปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) (เขียนยืนยันให้ประชาชนทราบว่ารูปการปกครองที่เหมาะสมกับราชอาณาจักรคือ ระบบรัฐสภา กล่าวโดยย่อ เป็นระบบรวมอำนาจ แยกกันทำหน้าที่คือฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ต้องเป็นสมาชิกรัฐสภา แต่แยกกันไปทำหน้าที่เพื่อถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เพื่อป้องกันการบิดเบือน มั่ว ไปใช้รูปการปกครองอื่น เช่น ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) มีสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ หรือระบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) มีฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันพวกที่คิดจ้องจะทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในทุกรูปแบบมากขึ้นทุกที)
เพียงเท่านี้ คือการร่วมกันสร้างสรรค์ชาติอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจ บารมี มีดวงตาเห็นธรรม ก็เริ่มต้นเป็นผู้นำได้ทันที นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการดับเหตุวิกฤตของชาติอันยาวนานกว่า 80 ปี ปัญหาอื่นๆ ปัญหาบุคคล ก็จะแก้ไขลงได้อย่างง่ายดาย...
สิ่งที่เป็นภัยร้ายแรงที่สุดของชาติคือ รัฐบาลกำลังหลงทางไปคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว เราเตือนแล้วว่าแผนปรองดองของรัฐบาลเป็นปัญหาปลายเหตุและต้องล้มเหลวซ้ำรอยเดิม ประชาชนถูกหลอกไปเป็นทาสรับใช้ทางการเมืองเช่นเดิม ขอให้ตื่นกับประเทศด้วยเถิด (ผู้รักชาติ ปัญญาชน Copy แจกให้เพื่อนๆ อย่างกว้างขว้างที่สุด)