ASTVผู้จัดการรายวัน – สศค.ปรับเป้าจีดีพีปีนี้เพิ่มจาก 5.5% เป็น 5.7% หลังพบแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายในประเทศ ส่งออกและภาคการผลิตเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนปี 56 ประมาณการณ์ไว้ที่ 5.0% แนะจับตาความเสี่ยงปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป รวมทั้งการชะตัวของของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2555 ขยายตัวได้ดีในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเนื่องจากฐานในปีที่แล้วอยู่ในระดับต่ำจากผลของวิกฤตอุทกภัย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาทิศทางของเศรษฐกิจ พบว่าขยายตัวได้ดีเช่นกัน ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ขณะที่การส่งออกและการผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนจากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ภาคการผลิตในภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณของการปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากภาคการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศที่ขยายตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการขยายกำลังการผลิตที่เร่งขึ้นมากและอุปสงค์ต่อสินค้าอุตสาหกรรมในตลาดโลกเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า
“จากข้อมูลเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2555 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2555 จะได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการใช้จ่ายในประเทศ ในขณะที่ภาคการส่งออกและภาคการผลิตเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังปรับเพิ่มการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2555 จะขยายตัวได้ที่ 5.7% สำหรับในปี 2556 ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 5.0% อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจากประเด็นความกังวลในการแก้ปัญหาหน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ (Fiscal Cliff) ปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยูโรโซน และการชะตัวของของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย” นายสมชัยกล่าว
นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 0.6% เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี สะท้อนจากภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัว 8.9% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่ฟื้นตัว
นอกจากนี้ การส่งออกขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นอยู่ที่ 3.1% โดยตลาดส่งออกหลักที่กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อาเซียน-9 และออสเตรเลีย โดยขยายตัว 2.4% 2.6% และ 11.2% ตามลำดับ เช่นเดียวกับภาคการผลิตอุตสาหกรรมมีสัญญาณของการขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนจากเดือนก่อนหน้า 8.0% โดยกลุ่มที่มีการขยายตัวได้ดี ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทแอร์ ตู้เย็น พัดลม ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีมากต่อทิศทางของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป.
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2555 ขยายตัวได้ดีในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเนื่องจากฐานในปีที่แล้วอยู่ในระดับต่ำจากผลของวิกฤตอุทกภัย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาทิศทางของเศรษฐกิจ พบว่าขยายตัวได้ดีเช่นกัน ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ขณะที่การส่งออกและการผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนจากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ภาคการผลิตในภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณของการปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากภาคการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศที่ขยายตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการขยายกำลังการผลิตที่เร่งขึ้นมากและอุปสงค์ต่อสินค้าอุตสาหกรรมในตลาดโลกเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า
“จากข้อมูลเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2555 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2555 จะได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการใช้จ่ายในประเทศ ในขณะที่ภาคการส่งออกและภาคการผลิตเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังปรับเพิ่มการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2555 จะขยายตัวได้ที่ 5.7% สำหรับในปี 2556 ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 5.0% อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจากประเด็นความกังวลในการแก้ปัญหาหน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ (Fiscal Cliff) ปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยูโรโซน และการชะตัวของของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย” นายสมชัยกล่าว
นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 0.6% เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี สะท้อนจากภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัว 8.9% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่ฟื้นตัว
นอกจากนี้ การส่งออกขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นอยู่ที่ 3.1% โดยตลาดส่งออกหลักที่กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อาเซียน-9 และออสเตรเลีย โดยขยายตัว 2.4% 2.6% และ 11.2% ตามลำดับ เช่นเดียวกับภาคการผลิตอุตสาหกรรมมีสัญญาณของการขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือนจากเดือนก่อนหน้า 8.0% โดยกลุ่มที่มีการขยายตัวได้ดี ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทแอร์ ตู้เย็น พัดลม ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีมากต่อทิศทางของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป.