ระยะทางพิสูจน์-ม้า กาลเวลาพิสูจน์-คน สำหรับ “ทักษิณ” ได้พิสูจน์ด้วยผลงานแล้วว่า เขาคือนายทุนสามานย์ที่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ ยึดหลักชาติมาทีหลัง-ผลประโยชน์ฉันต้องมาก่อน!
ยุค “ทักษิณ” มีการฆ่าชาวไทยมุสลิมภาคใต้อย่างหฤโหด ยุคน้องเขย “สมชาย” มีการฆ่าพันธมิตรฯ ใจกลางเมืองหลวงอย่างเหี้ยมโหดเช่นกัน
การชุมนุมของพันธมิตรฯ ในทำเนียบฯ อย่างสงบสันติ ถูก “มือลึกลับ” ยิงปืนเอ็ม 79 ใส่แทบทุกคืน ทำให้ประชาชนเสียชีวิตคนแล้วคนเล่า และทุกครั้งก่อนจะมีการยิงปืนเอ็ม 79 ฆ่าประชาชนชน “เสธ.เรด” กับสมุนพลพรรคทักษิณ มักประกาศให้สาธารณชนรู้ว่า จะมีการยิงพันธมิตรฯ ในวันนั้นวันนี้ก่อนเสมอ
นอกจากรัฐบาลสมชายจะไม่จับคนร้ายแล้ว ยังทำประหนึ่งพออกพอใจกับการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนอีกต่างหาก
แถมรัฐบาลสมชายยังทำตัวเป็นหุ่นเชิดให้ทักษิณ คอร์รัปชันโกงกินชาติบ้านเมืองกันอย่างต่อเนื่อง!
พันธมิตรฯ จึงต้องเคลื่อนไหวด้วยมาตรการที่เข้มข้นขึ้น ด้วยการไปชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลมือเปื้อนเลือดลาออกถึงหน้าสนามบินดอนเมือง ซึ่งนายสมชายใช้เป็นที่ทำงานชั่วคราว อีกทั้งยังไปชุมนุมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในจุดที่แท็กซี่สนามบินแห่งนี้ เคยใช้เป็นที่ชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมมาแล้วถึง 2 ครั้ง เพราะหวังจะได้พบกับนายกฯ สมชายที่มีข่าวว่า จะเดินทางกลับจากต่างประเทศ มาลงยังสนามบินแห่งนี้นั่นเอง
ทว่าทั้งๆ ที่พันธมิตรฯ ชุมนุมกันอย่างสันติอหิงสาด้วยสองมือเปล่า อยู่ตรงลานจอดรถหน้าตึกของสนามบิน ซึ่งมิได้กระทบต่อการขึ้นลงของเครื่องบิน และการบริหารจัดการสนามบินแม้แต่น้อย
แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของรัฐบาลสมชายและพวกพ้อง ผู้ว่าการท่าอากาศยานฯ ในตอนนั้น ซึ่งเป็นพี่เมียของ นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำเสื้อแดงที่สนิทสนมกับทักษิณ ซึ่งไม่มีอำนาจในการสั่งปิดสนามบิน กลับประกาศปิดสนามบินสุวรรณภูมิโดยพลการทันที เพื่อให้ร้ายป้ายสีพันธมิตรฯ ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
การชุมนุมหน้าสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิของพันธมิตรฯ ได้ส่งผลกดดันทางการเมืองต่อทุกฝ่ายในประเทศไทยอย่างรุนแรง จนมี “พรายกระซิบ” ว่า ทหารกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งทำรัฐประหารไปหยกๆ จะกลับมาเถลิงอำนาจด้วยการทำรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง และจะกวาดล้างทั้งกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยไม่แยกแยะว่าฝ่ายใดดีฝ่ายใดชั่ว ฝ่ายใดทำลายและฝ่ายใดปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จนผู้ใหญ่บางคนไปรู้แผนร้ายนี้เข้า จึงมีการยุติแผนชั่วนี้ไว้ เพราะกลัว “เหลือง-แดง” จับมือกันต่อต้านต่อสู้นั่นเอง
12.30 น. วันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคชาติไทย ที่ทำการทุจริตการเลือกตั้ง และยังตัดสิทธิ์ทางการเมืองหัวหน้าพรรค กับกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 เป็นเวลา 5 ปีอีกด้วย
รัฐบาลมือเปื้อนเลือด “สมชาย” ผู้เป็นน้องเขยและหุ่นเชิดของทักษิณ ที่ “ชาตะ” ในวันที่ 24 กันยายน2551 จึง “มรณะ” ลงในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 มีอายุขัยรวมแค่ 68 วันเท่านั้น
เพราะถูกนายทหารกลุ่มหนึ่งทั้งที่อยู่นอกและในราชการ ซึ่งเคยร่วมทำรัฐประหารยุค “บิ๊กบัง” เดินเกมพลิกขั้วทางการเมือง โดยแอบนัดหมายพรรคที่เคยร่วมกับรัฐบาลทักษิณ หันมาดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกฯ แทนทันที
แม้ทักษิณรู้ข่าวจะถูกหักหลังอย่างกะทันหัน แต่เขาก็พยายามจะพลิกสถานการณ์ จนถึงกับโทรศัพท์สายตรงไปหานายเนวิน ให้กลับมายืนอยู่ข้างตนอีกครั้งหนึ่ง แต่ทักษิณก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวด เมื่อบุรุษผู้ทรยศต่อเขาบอกเสียงเนิบๆนิ่มๆ บาดหัวใจทักษิณชนิดไม่มีวันลืมว่า
“..เรื่องนี้..มันจบแล้วครับนาย..”
ดังนั้น วันเลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ในสภา พรรคทักษิณจึงจำต้องเสนอ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แทนที่จะเสนอคนของพรรคตนเป็นนายกฯ เพราะหวังจะได้คะแนนเสียงเพิ่มจาก ส.ส.ในสภา แต่ “งูเห่า” เครือข่าย “เนวิน” มีมากกว่า มติเลือกนายกฯ ในสภาครั้งนั้นทักษิณจึงพ่ายแพ้..
การต่อสู้แพ้ชนะในสภามิใช่เกมกีฬาที่ “แฟร์เพลย์” เพราะในสภาใครมี ส.ส.มากกว่าจะชนะเสมอ ดังนั้น หากเสียงข้างมากลงมติเอาชนะ โดยไม่ได้รักษาผลประโยชน์ชาติและประชาชน แต่กลับไปเอื้อประโยชน์ให้คนชั่วเพียงคนเดียว และกลุ่มคนเลวเพียงไม่กี่คนแล้วล่ะก้อ
นั่นมิใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง หากแต่เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาของพวกทุนนิยมสามานย์ที่น่าชิงชัง และเป็นที่รังเกลียดของประชาชนคนไทยและชาวโลกครับ
อำนาจรัฐที่เปลี่ยนมาอยู่ในกำมือของนายทหารกลุ่มหนึ่ง-นายอภิสิทธิ์กับเทพเทือก-นายเนวินกับพวก รวมทั้งพันธมิตรฯ ได้ยุติการชุมนุมลง รัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณถูกยุติบทบาทลงอีกครั้ง ถือเป็นนาทีทองที่ควรจะนำมาซึ่งสันติสุขของชาติและประชาชนคนไทย
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า..คลื่น “สึนามิ” ทางการเมืองที่แสนอันตราย ได้เผยตัวขึ้นกลาง “มหาสมุทร” แห่งการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจทางการเมือง เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ในวันที่ 17 ธันวาคม 2551
มหาสงครามการเมืองระหว่างทักษิณ-อภิสิทธิ์-เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ ได้เริ่มขึ้นแล้ว!!!
ยุค “ทักษิณ” มีการฆ่าชาวไทยมุสลิมภาคใต้อย่างหฤโหด ยุคน้องเขย “สมชาย” มีการฆ่าพันธมิตรฯ ใจกลางเมืองหลวงอย่างเหี้ยมโหดเช่นกัน
การชุมนุมของพันธมิตรฯ ในทำเนียบฯ อย่างสงบสันติ ถูก “มือลึกลับ” ยิงปืนเอ็ม 79 ใส่แทบทุกคืน ทำให้ประชาชนเสียชีวิตคนแล้วคนเล่า และทุกครั้งก่อนจะมีการยิงปืนเอ็ม 79 ฆ่าประชาชนชน “เสธ.เรด” กับสมุนพลพรรคทักษิณ มักประกาศให้สาธารณชนรู้ว่า จะมีการยิงพันธมิตรฯ ในวันนั้นวันนี้ก่อนเสมอ
นอกจากรัฐบาลสมชายจะไม่จับคนร้ายแล้ว ยังทำประหนึ่งพออกพอใจกับการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนอีกต่างหาก
แถมรัฐบาลสมชายยังทำตัวเป็นหุ่นเชิดให้ทักษิณ คอร์รัปชันโกงกินชาติบ้านเมืองกันอย่างต่อเนื่อง!
พันธมิตรฯ จึงต้องเคลื่อนไหวด้วยมาตรการที่เข้มข้นขึ้น ด้วยการไปชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลมือเปื้อนเลือดลาออกถึงหน้าสนามบินดอนเมือง ซึ่งนายสมชายใช้เป็นที่ทำงานชั่วคราว อีกทั้งยังไปชุมนุมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในจุดที่แท็กซี่สนามบินแห่งนี้ เคยใช้เป็นที่ชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมมาแล้วถึง 2 ครั้ง เพราะหวังจะได้พบกับนายกฯ สมชายที่มีข่าวว่า จะเดินทางกลับจากต่างประเทศ มาลงยังสนามบินแห่งนี้นั่นเอง
ทว่าทั้งๆ ที่พันธมิตรฯ ชุมนุมกันอย่างสันติอหิงสาด้วยสองมือเปล่า อยู่ตรงลานจอดรถหน้าตึกของสนามบิน ซึ่งมิได้กระทบต่อการขึ้นลงของเครื่องบิน และการบริหารจัดการสนามบินแม้แต่น้อย
แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของรัฐบาลสมชายและพวกพ้อง ผู้ว่าการท่าอากาศยานฯ ในตอนนั้น ซึ่งเป็นพี่เมียของ นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำเสื้อแดงที่สนิทสนมกับทักษิณ ซึ่งไม่มีอำนาจในการสั่งปิดสนามบิน กลับประกาศปิดสนามบินสุวรรณภูมิโดยพลการทันที เพื่อให้ร้ายป้ายสีพันธมิตรฯ ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
การชุมนุมหน้าสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิของพันธมิตรฯ ได้ส่งผลกดดันทางการเมืองต่อทุกฝ่ายในประเทศไทยอย่างรุนแรง จนมี “พรายกระซิบ” ว่า ทหารกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งทำรัฐประหารไปหยกๆ จะกลับมาเถลิงอำนาจด้วยการทำรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง และจะกวาดล้างทั้งกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยไม่แยกแยะว่าฝ่ายใดดีฝ่ายใดชั่ว ฝ่ายใดทำลายและฝ่ายใดปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จนผู้ใหญ่บางคนไปรู้แผนร้ายนี้เข้า จึงมีการยุติแผนชั่วนี้ไว้ เพราะกลัว “เหลือง-แดง” จับมือกันต่อต้านต่อสู้นั่นเอง
12.30 น. วันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคชาติไทย ที่ทำการทุจริตการเลือกตั้ง และยังตัดสิทธิ์ทางการเมืองหัวหน้าพรรค กับกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 เป็นเวลา 5 ปีอีกด้วย
รัฐบาลมือเปื้อนเลือด “สมชาย” ผู้เป็นน้องเขยและหุ่นเชิดของทักษิณ ที่ “ชาตะ” ในวันที่ 24 กันยายน2551 จึง “มรณะ” ลงในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 มีอายุขัยรวมแค่ 68 วันเท่านั้น
เพราะถูกนายทหารกลุ่มหนึ่งทั้งที่อยู่นอกและในราชการ ซึ่งเคยร่วมทำรัฐประหารยุค “บิ๊กบัง” เดินเกมพลิกขั้วทางการเมือง โดยแอบนัดหมายพรรคที่เคยร่วมกับรัฐบาลทักษิณ หันมาดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกฯ แทนทันที
แม้ทักษิณรู้ข่าวจะถูกหักหลังอย่างกะทันหัน แต่เขาก็พยายามจะพลิกสถานการณ์ จนถึงกับโทรศัพท์สายตรงไปหานายเนวิน ให้กลับมายืนอยู่ข้างตนอีกครั้งหนึ่ง แต่ทักษิณก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวด เมื่อบุรุษผู้ทรยศต่อเขาบอกเสียงเนิบๆนิ่มๆ บาดหัวใจทักษิณชนิดไม่มีวันลืมว่า
“..เรื่องนี้..มันจบแล้วครับนาย..”
ดังนั้น วันเลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ในสภา พรรคทักษิณจึงจำต้องเสนอ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แทนที่จะเสนอคนของพรรคตนเป็นนายกฯ เพราะหวังจะได้คะแนนเสียงเพิ่มจาก ส.ส.ในสภา แต่ “งูเห่า” เครือข่าย “เนวิน” มีมากกว่า มติเลือกนายกฯ ในสภาครั้งนั้นทักษิณจึงพ่ายแพ้..
การต่อสู้แพ้ชนะในสภามิใช่เกมกีฬาที่ “แฟร์เพลย์” เพราะในสภาใครมี ส.ส.มากกว่าจะชนะเสมอ ดังนั้น หากเสียงข้างมากลงมติเอาชนะ โดยไม่ได้รักษาผลประโยชน์ชาติและประชาชน แต่กลับไปเอื้อประโยชน์ให้คนชั่วเพียงคนเดียว และกลุ่มคนเลวเพียงไม่กี่คนแล้วล่ะก้อ
นั่นมิใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง หากแต่เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาของพวกทุนนิยมสามานย์ที่น่าชิงชัง และเป็นที่รังเกลียดของประชาชนคนไทยและชาวโลกครับ
อำนาจรัฐที่เปลี่ยนมาอยู่ในกำมือของนายทหารกลุ่มหนึ่ง-นายอภิสิทธิ์กับเทพเทือก-นายเนวินกับพวก รวมทั้งพันธมิตรฯ ได้ยุติการชุมนุมลง รัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณถูกยุติบทบาทลงอีกครั้ง ถือเป็นนาทีทองที่ควรจะนำมาซึ่งสันติสุขของชาติและประชาชนคนไทย
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า..คลื่น “สึนามิ” ทางการเมืองที่แสนอันตราย ได้เผยตัวขึ้นกลาง “มหาสมุทร” แห่งการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจทางการเมือง เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ในวันที่ 17 ธันวาคม 2551
มหาสงครามการเมืองระหว่างทักษิณ-อภิสิทธิ์-เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ ได้เริ่มขึ้นแล้ว!!!