xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวสุขแห่งปีในหลวงเสด็จ5ธ.ค.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้(23 ธ.ค.55)นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ที่สุด

ของ "ข่าว" แห่งปี 2555 : กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น

1,218ตัวอย่าง ดำเนินการสำรวจในวันที่ 18-22 ธันวาคม 2555 ประเด็นสำคัญที่ค้นพบมีดังนี้
ที่สุดของ "ข่าวการเมือง" แห่งปี 2555 อันดับที่ 1 คือ "ดีเอสไอ ตั้งข้อหา "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล"

ได้ร้อยละ 20.1 อันดับที่สอง คือ "พรบ. ปรองดอง เดือด ส.ส.ตะลุมบอนกันวุ่นในรัฐสภา" ได้ร้อยละ 18.4 อันดับที่สาม คือ "ม็อบเสธฯ

อ้าย ประท้วงขับไล่รัฐบาล" ได้ ร้อยละ 16.3 อันดับที่สี่ คือ "ภาพโป๊หลุดกลางรัฐสภา" ได้ ร้อยละ 14.2 และ อันดับที่ห้า "เแฉคลิปเสียง

ประธานรัฐสภา พูดถึงเบื้องหลังที่รัฐบาลยอมถอยแก้รัฐธรรมนูญ และการชะลอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง" ได้ ร้อยละ 11.7 ตามลำดับ
ที่สุดของ ข่าวอาชญากรรม แห่งปี 2555 อันดับที่ 1 คือ "ขุดพบโครงกระดูกในไร่หมอสุพัฒน์" ได้ ร้อยละ 23.5 อันดับที่สอง คือ "คดี

ปลัดกระทรวงคมนาคมถูกปล้นบ้าน และโดนข้อหาร่ำรวยผิดปกติ" ได้ ร้อยละ 16.2 อันดับที่สาม คือ "ลูกเจ้าสัวกระทิงแดง ขับรถชน

ตำรวจ?ตาย" ได้ ร้อยละ 15.4 อันดับที่สี่คือ "เกิดเหตุระเบิดโรงแรมลีการ์เด้น หาดใหญ่" ได้ ร้อยละ 15.3 และอันดับที่ห้า คือ "ศาล

เยาวชนฯ พิพากษาจำคุก สาวซีวิค 2 ปี รอลงอาญา 3 ปี พร้อมห้ามขับรถจนกว่าจะอายุ 25 ปี" ได้ ร้อยละ 12.4 ตามลำดับ
ที่สุดของ ข่าวเศรษฐกิจ แห่งปี 2555 อันดับที่ 1 คือ "ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ใน 7 จังหวัดนำร่อง และอีกจังหวัดที่เหลือขึ้นอีก 40% "

ได้ ร้อยละ 30.6 อันดับที่สองได้แก่ "เปิดประมูล 3 จี" ได้ ร้อยละ 19.9 อันดับที่สาม คือ "ปรับขึ้นเงินเดือน ป. ตรี 15,000 บาท นำร่องข้า

ราชการ" ได้ ร้อยละ 17.4 อันดับที่สี่คือ "โครงการจำนำข้าว" ได้ ร้อยละ 16.4 และอันดับที่ห้า คือ ยอดจองถล่มทลาย! รถคันแรกพุ่ง 7.2

แสนคัน คืนภาษี 5.3 หมื่นล้านบาท ได้ ร้อยละ 15.7 ตามลำดับ
ที่น่ายินดีคือ เหตุการณ์ที่ทำให้มีความสุขมากที่สุดในปี 2555 อันดับที่ 1 คือ "ในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม ในโอกาสพระราชพิธี

มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555" ได้ร้อยละ 36.2 อันดับที่สอง คือ "ในหลวงเสด็จเยือนบริเวณทุ่งมะขามหย่อง จ

.พระนครศรีอยุธยา" ได้ ร้อยละ 34.6 อันดับที่สาม คือ "ฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้และประกาศพระพุทธศาสนาของ

พระพุทธเจ้า" ได้ ร้อยละ 12.1 อันดับที่สี่ คือ "นักกีฬาไทยคว้าเหรียญกีฬาโอลิมปิกส์" ได้ ร้อยละ 10.5 และอันดับที่ 5 คือ "นักกีฬาคน

พิการคว้าเหรียญกีฬาพาราลิมปิกส์" ได้ ร้อยละ 6.6 ตามลำดับ
ที่น่าเศร้าใจคือ เหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกสลดใจมากที่สุดในปี 2555 อันดับที่หนึ่ง คือ "เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาค

ใต้"ได้ ร้อยละ 37.3 อันดับที่สอง คือ "เด็ก 3 ขวบ กอดศพแม่นาน 3 วัน โดยไม่รู้ว่าแม่เสียชีวิต" ได้ ร้อยละ 25.3 อันดับที่สาม คือ "คน

ร้ายบุกยิงโรงเรียนในสหรัฐ เสียชีวิต 27 ราย" ได้ ร้อยละ 22.0 อันดับที่สี่ คือ "เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์" ได้ ร้อยละ 8.4 และ

อันดับที่ห้า คือ "พายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ถล่มสหรัฐ" ได้ร้อยละ 7.0 ตามลำดับ
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า จากการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึกพบว่า ประชาชนให้ความสำคัญต่อ "ข่าว" และกลายเป็น

ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ต้องติดตามเรียนรู้เปรียบเสมือนว่า ข่าวเป็นเนื้อหาของบทเรียนในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลาที่เกิด

เหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นในสังคม อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนจำนวนมากติดตามเพียง "หัวข้อข่าว" ที่ถูกหยิบขึ้นมาพาดหัว

และส่วนมากเชื่อและเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ เกิดอารมณ์ ชอบหรือไม่ชอบไปตามหัวข้อข่าว ขาดการติดตามในรายละเอียดของเนื้อหาของ

ข่าว จนบางครั้งเกิดทะเลาะกัน มีปากเสียงกันภายในครอบครัวและชุมชน หรือกับเพื่อนร่วมงาน และแม้แต่ "คนแปลกหน้า" ที่ไม่รู้จัก

กันมาก่อน นี่คืออันตรายอย่างยิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนคนไทย ดังนั้น การติดตาม "ข่าว" ต้องติดตามลงไปใน

รายละเอียด และถ้าคนไทยเล็งเห็นว่า มีการแบ่งค่ายของสำนักข่าวต่างๆ ทางออกที่น่าพิจารณาอย่างน้อย 3 ทางเลือกคือ
1) เสนอให้สถาบันสื่อสารมวลชนเสนอข่าวที่เล็งเห็นว่าอาจก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนให้ครบถ้วนรอบด้าน และสรุป

ในเชิงสร้างสรรค์ด้วยเหตุผล มากกว่า ถ้อยคำด้วยความรู้สึก โกรธแค้น และใช้ถ้อยคำที่ "ปั่น" อารมณ์ให้คนทะเลาะกัน
2) เสนอให้ประชาชนเป็นผู้ "ตื่น" คือเป็น Active ไม่เป็นเพียง "ผู้รับ" หรือ Passive กล่าวคือไม่ไหลไปตามกระแส ศึกษาเรียนรู้ด้วย

ความเป็นจริงโดยตัวเองให้ครบถ้วนรอบด้าน และ
3) หยุดหรือชะลอการนำเสนอข่าวที่ยังไม่เห็นชัดเจนว่ามันเป็นความจริง ไม่ควรเสนอข่าวที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย

จากต้นตอของข่าวที่เริ่มจากคำว่า "เขาว่ากันว่า........." จากนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางทั้งๆ ที่ไม่มีมูลของความเป็นจริงอยู่เลย

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำเสนอข่าวเองอาจเกิดอารมณ์หรืออคติชี้นำไปแล้วในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีต่อ "ข่าว" และอาจก่อให้เกิดความ

เสี่ยงสูงที่จะผิดจรรยาบรรณของสถาบันสื่อมวลชนได้ง่าย จึงเสนอให้ทุกๆ ฝ่ายช่วยเหลือกันประคับประคองให้สังคมไทยผ่านพ้น

ปัญหาอุปสรรคแห่งความขัดแย้งในหมู่ประชาชนผ่าน "ข่าวจริง" มากกว่า "ข่าวเทียม" เพราะในเวลานี้ "ข่าวเทียม" กำลังกลายเป็นต้น

ตอแห่งความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันอยู่ในเวลานี้ จึงหวังว่า ปีหน้านี้ สถาบันสื่อมวลชนจะทำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ติดตาม

"ข่าวจริง" ที่จะทำให้สังคมไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
กำลังโหลดความคิดเห็น