00 อย่าได้แปลกใจที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยังไม่กล้าผลีผลามกับการทำประชามติว่าจะเอาแบบไหน ถามแบบไหน ยังไม่เคลียร์ ต้องตั้งคณะทำงานศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบ ทั้งเรื่องข้อกม. แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือจะตั้งคำถามแบบ “หมกเม็ด” แบบไหนมากกว่า เช่น ถามว่าจะ “ให้แก้” รธน.หรือไม่ เป็นต้น ดูเผินๆ ก็น่าจะใช่ แต่ช้าก่อนพี่น้อง ถ้าผลออกมาให้แก้ไข มันก็ “เสร็จแม้ว” นะซี เพราะถ้าคิดแบบ “หัวหมอ” มันก็จะฉีกฉบับปัจจุบันทิ้งไป แล้วยกร่างใหม่ตามใจชอบ หรือไม่ก็ใช้วิธีแก้ไขรายมาตรา แต่เป้าหมายก็คือ ม.309 ลบล้างคำสั่งคมช. ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ลอยนวล สาระสำคัญมีอยู่แค่นี้แหละ
00 แต่ปัญหาที่น่ากังวลสำคัญสำหรับ ทักษิณ ก็คือตอนนี้ชาวบ้านเขารู้ทัน เริ่มระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดอาจถึงขั้นรวมหัวกันไม่ลงประชามติ เพื่อไม่ให้เสียงผู้ไปใช้สิทธิ์ถึง 23 ล้านเสียง ตามกม.ประกอบรธน.ปี 52 ทำให้การแก้ไขต้องยุติลง สิ้นเรื่องสิ้นราว นี่ว่ากันแบบตรงไปตรงมา หากเป็นการลงประชามติแบบซีเรียส หรือแบบที่เรียกว่า “หาข้อยุติ” เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ยังมีวิธีการ “หัวหมอ” อีกแบบหนึ่ง นั่นคือการลงประชามติแบบเป็น “ความเห็น” ให้คำปรึกษารัฐบาล ถ้าแบบนี้ ก็ไม่มีผลผูกพัน ไม่ต่างจากผลสำรวจของโพลล์รับจ้างต่างๆ ที่รัฐบาลจะทำตามหรือไม่ก็ได้ หรือไม่ก็อาจมั่นใจว่ามีเสียงหนุนให้แก้ไขมากกว่า ก็นำไปอ้างเป็นเหตุผลในการฉีกรธน. แล้วร่างใหม่ก็ได้
00 อย่างไรก็ดี ตอนนี้ ทักษิณ และทีมงานกำลังวิตกว่าจะมีคนไม่ออกไปลงประชามติแล้วเสียงไม่ถึง 23 ล้านเสียง ทำให้ แม้วต้องกลายเป็น “สัมภเวสีถาวร” ถือว่าน่าหวั่นไหวมาก และปฏิเสธไม่ได้ว่า ปชป. คือตัวแปรสำคัญ ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ทั้งพรรคเพื่อไทย และในรัฐบาลต่างออกมาขู่ฟ่อๆ เอากับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หลุดปากว่า จะคว่ำประชามติ เพราะมันสะเทือน เนื่องจากฐานเสียงหากนับจากการเลือกตั้งคราวที่แล้วก็มีกว่า 11 ล้านเสียง นี่แหละถึงได้บอกว่ามันไม่หมูหรอก แม้วเอ๋ย
00 ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากรายชื่อคณะทำงานที่เกี่ยวกับการออกเสียงลงประชามติ และประชาเสวนาอะไรนั่น มันก็สะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่าง เพราะมีชื่อ พงศ์เทพ เทพกาญจนา จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และ วราเทพ รัตนากร นี่ว่ากันเฉพาะในรัฐบาล ส่วนข้างนอกในฐานะหัวหน้าทีมพรรคร่วม ก็มี โภคิน พลกุล น่าสังเกตก็คือ ชื่อของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตกหล่นไปเฉยเลย ถูกกันออกนอกวง ไม่ให้มีบทบาทใดๆ เลย จากนี้ไปเริ่มพอมองเห็นแววอนาคตของ “คนบางบอน” แล้วว่าจะเป็นแบบไหน
00 ถ้าจะพูดกันในทางยุทธศาสตร์ ก็ต้องยอมรับการแก้ไขรธน.โดยการทำประชามติเบิกทางนั้นถือว่าเป็นหนทางสุดท้ายสำหรับ ทักษิณ สำหรับการแก้ไขเพื่อลบล้างความผิดให้ตัวเอง และข้ออ้างเดียวก็คือ ที่มาของรธน.ปัจจุบันเป็นเผด็จการเท่านั้นไม่ได้พูดถึงเนื้อหา และทั้งที่รธน.ปัจจุบันก็มาจากการลงประชามติเป็นครั้งแรกเห็นชอบกว่า 14 ล้านเสียง และที่ผ่านมาเคยใช้วิธีอื่น “หัก” เอา เช่น มาแบบใช้ชื่อ “ปรองดอง” ก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงเหลือวิธีเดียวเท่านั้น แต่มันก็ไม่ง่าย
00 ถ้าจะว่าไปแล้วการที่แม้วเริ่มตีบตัน หันมาใช้วิธีลงประชามติสาเหตุหลักก็เป็นเพราะความล้มเหลวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “นอมินี” ของตัวเองนั่นแหละ หากผลงานออกมาน่าประทับใจ “กระชากค่าครองชีพ” ลงมาได้จริง ไม่มีเรื่องโกงมโหฬาร รับรองจะแก้ไขแบบไหนก็คงหักเอาไปตั้งนานแล้ว เหมือนกับเมื่อเจอกรณี “ซุกหุ้น” ภาคแรก เมื่อปี 44-45 ที่ตอนนั้นกำลังฮอตชาวบ้านหนุนช่วย แม้แต่ศาลรธน.ในยุคนั้นยังเกรงใจ “ปล่อยผีเข้าป่าช้า” จนวุ่นถึงวันนี้ไงล่ะ !!
00 แต่ปัญหาที่น่ากังวลสำคัญสำหรับ ทักษิณ ก็คือตอนนี้ชาวบ้านเขารู้ทัน เริ่มระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดอาจถึงขั้นรวมหัวกันไม่ลงประชามติ เพื่อไม่ให้เสียงผู้ไปใช้สิทธิ์ถึง 23 ล้านเสียง ตามกม.ประกอบรธน.ปี 52 ทำให้การแก้ไขต้องยุติลง สิ้นเรื่องสิ้นราว นี่ว่ากันแบบตรงไปตรงมา หากเป็นการลงประชามติแบบซีเรียส หรือแบบที่เรียกว่า “หาข้อยุติ” เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ยังมีวิธีการ “หัวหมอ” อีกแบบหนึ่ง นั่นคือการลงประชามติแบบเป็น “ความเห็น” ให้คำปรึกษารัฐบาล ถ้าแบบนี้ ก็ไม่มีผลผูกพัน ไม่ต่างจากผลสำรวจของโพลล์รับจ้างต่างๆ ที่รัฐบาลจะทำตามหรือไม่ก็ได้ หรือไม่ก็อาจมั่นใจว่ามีเสียงหนุนให้แก้ไขมากกว่า ก็นำไปอ้างเป็นเหตุผลในการฉีกรธน. แล้วร่างใหม่ก็ได้
00 อย่างไรก็ดี ตอนนี้ ทักษิณ และทีมงานกำลังวิตกว่าจะมีคนไม่ออกไปลงประชามติแล้วเสียงไม่ถึง 23 ล้านเสียง ทำให้ แม้วต้องกลายเป็น “สัมภเวสีถาวร” ถือว่าน่าหวั่นไหวมาก และปฏิเสธไม่ได้ว่า ปชป. คือตัวแปรสำคัญ ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ทั้งพรรคเพื่อไทย และในรัฐบาลต่างออกมาขู่ฟ่อๆ เอากับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หลุดปากว่า จะคว่ำประชามติ เพราะมันสะเทือน เนื่องจากฐานเสียงหากนับจากการเลือกตั้งคราวที่แล้วก็มีกว่า 11 ล้านเสียง นี่แหละถึงได้บอกว่ามันไม่หมูหรอก แม้วเอ๋ย
00 ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากรายชื่อคณะทำงานที่เกี่ยวกับการออกเสียงลงประชามติ และประชาเสวนาอะไรนั่น มันก็สะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่าง เพราะมีชื่อ พงศ์เทพ เทพกาญจนา จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และ วราเทพ รัตนากร นี่ว่ากันเฉพาะในรัฐบาล ส่วนข้างนอกในฐานะหัวหน้าทีมพรรคร่วม ก็มี โภคิน พลกุล น่าสังเกตก็คือ ชื่อของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตกหล่นไปเฉยเลย ถูกกันออกนอกวง ไม่ให้มีบทบาทใดๆ เลย จากนี้ไปเริ่มพอมองเห็นแววอนาคตของ “คนบางบอน” แล้วว่าจะเป็นแบบไหน
00 ถ้าจะพูดกันในทางยุทธศาสตร์ ก็ต้องยอมรับการแก้ไขรธน.โดยการทำประชามติเบิกทางนั้นถือว่าเป็นหนทางสุดท้ายสำหรับ ทักษิณ สำหรับการแก้ไขเพื่อลบล้างความผิดให้ตัวเอง และข้ออ้างเดียวก็คือ ที่มาของรธน.ปัจจุบันเป็นเผด็จการเท่านั้นไม่ได้พูดถึงเนื้อหา และทั้งที่รธน.ปัจจุบันก็มาจากการลงประชามติเป็นครั้งแรกเห็นชอบกว่า 14 ล้านเสียง และที่ผ่านมาเคยใช้วิธีอื่น “หัก” เอา เช่น มาแบบใช้ชื่อ “ปรองดอง” ก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงเหลือวิธีเดียวเท่านั้น แต่มันก็ไม่ง่าย
00 ถ้าจะว่าไปแล้วการที่แม้วเริ่มตีบตัน หันมาใช้วิธีลงประชามติสาเหตุหลักก็เป็นเพราะความล้มเหลวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “นอมินี” ของตัวเองนั่นแหละ หากผลงานออกมาน่าประทับใจ “กระชากค่าครองชีพ” ลงมาได้จริง ไม่มีเรื่องโกงมโหฬาร รับรองจะแก้ไขแบบไหนก็คงหักเอาไปตั้งนานแล้ว เหมือนกับเมื่อเจอกรณี “ซุกหุ้น” ภาคแรก เมื่อปี 44-45 ที่ตอนนั้นกำลังฮอตชาวบ้านหนุนช่วย แม้แต่ศาลรธน.ในยุคนั้นยังเกรงใจ “ปล่อยผีเข้าป่าช้า” จนวุ่นถึงวันนี้ไงล่ะ !!
