xs
xsm
sm
md
lg

โหราศาสตร์ : ศาสตร์แห่งศรัทธา และสถิติ

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ในระยะนี้ได้มีบรรดาท่านผู้รู้วิชาโหราศาสตร์ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโคจรเข้ามาเล็งลัคนาดวงเมือง ดาวเสาร์ และราหู ซึ่งเป็นดาวพระเคราะห์และเป็นที่เชื่อกันว่าดาวคู่นี้ให้โทษแก่เจ้าชะตาที่ถูกดาวคู่นี้เล็งถึงขั้นร้ายแรงที่เรียกกันว่าเป็นดวงแตก จึงได้มีการทำนายทายทักว่าจะเกิดเหตุเภทภัยแก่บ้านเมืองนานัปการมากบ้างน้อยบ้างตามประสบการณ์ของแต่ละท่าน แต่ส่วนใหญ่แล้วไปในทิศทางเดียวกันคือ ไม่ดีแก่บ้านเมือง

เมื่อดาวพระเคราะห์ใหญ่คือเสาร์ และราหูเข้าเล็งลัคนาแล้วให้ผลในทางร้ายจริงหรือ?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนในฐานะโหรสมัครเล่น และพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างเกี่ยวกับดาวบาปพระเคราะห์คู่นี้ มีความเห็นว่าก่อนที่จะบอกว่าดาวคู่นี้ให้โทษหรือไม่ และถ้าให้โทษให้เกี่ยวกับเรื่องอะไร และร้ายแรงขนาดไหน ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านได้รู้ และเข้าใจถึงเนื้อหาและสาระของโหราศาสตร์ก่อนเพื่อจะให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเองว่า น่าเชื่อแค่ไหนเพียงไร

โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากความเชื่อและการสังเกตของคนในยุคโบราณ และสืบทอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาแบ่งออกเป็นสองส่วนหรือสองภาค คือ

1. ภาคคำนวณ ว่าด้วยการคำนวณการโคจรของดาวต่างๆ ในยุคแรกๆ มีอยู่ 7 ดวง คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ ซึ่งในภาคคำนวณแทนด้วยตัวเองคือ 1, 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 โดยลำดับ ต่อมาในระยะหลังได้มีการนำดาวราหู มฤตยู และเกตุซึ่งแทนด้วยตัวเลข 8, 9, 0 ตามลำดับ

โหราศาสตร์ในส่วนนี้คือจุดเริ่มต้นของวิชาดาราศาสตร์ คือศาสตร์ที่ว่าด้วยดวงดาวในระบบจักรวาลที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ ตามนัยแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่

แต่ในยุคแรกๆ ที่โหราศาสตร์เกิดขึ้นมีข้อสมมติฐานค่อนข้างจะตรงกันข้ามอยู่บ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของดาวที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยที่โหราศาสตร์เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลาง และดาวต่างๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก จึงไม่ปรากฏว่ามีโลกอยู่ในดาวนพเคราะห์ 7 ดวงที่หมุนอยู่ในจักรวาล แต่ขอให้สังเกตการโคจรของดวงอาทิตย์ที่มีระยะการโคจรรอบโลก 1 รอบจะเท่ากับ 365 วันซึ่งเป็นระยะเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์พอดีตามนัยแห่งดาราศาสตร์ปัจจุบัน และด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นอันถือได้ว่าดวงอาทิตย์ในวิชาโหราศาสตร์ก็คือโลกนั่นเอง

ส่วนโลกไม่ปรากฏในจำนวนดวงดาว 7 ดวง แต่ก็ปรากฏในรูปของราหูอันเป็นเงาของโลกในภายหลัง จะเห็นได้จากวิถีโคจรสวนทางกับดวงดาวอื่น คือ ในขณะที่ดวงดาวอื่นโคจรตามเข็มนาฬิกา ดาวราหูและเกตุหมุนทวนเข็มนาฬิกา

2. ภาคพยากรณ์

การพยากรณ์ชะตาชีวิตของคนก็ดี ของบ้านเมืองก็ดี เกิดจากการนำวัน เดือน ปี และเวลาที่คนหรือองค์กรเกิดขึ้นมาผูกเป็นดวงชะตา ถ้าเป็นคนก็เรียกว่าดวงกำเนิด ถ้าเป็นองค์กรก็เรียกว่า ดวงฤกษ์

เมื่อได้ดวงกำเนิดมาแล้วก็นำข้อสังเกตเก็บรวบรวมมาเทียบเคียง และทำนายทายทักไปตามนั้น โดยยึดหลักในการพยากรณ์ดังต่อไปนี้

1. ความหมายของดาวแต่ละดวง ซึ่งมีการรวมและผูกเป็นคำคล้องจองเพื่อง่ายต่อการจำอย่างง่ายๆ เป็นเบื้องต้นว่า ทายยศ ทายศักดิ์ให้ทายอาทิตย์ ทายจริตให้ทายจันทร์ ทายขยันให้ทายอังคาร ทายหวานให้ทายพุธ ทายปัญญาบริสุทธิ์ให้ทายพฤหัสบดี ทายกำหนัดให้ทายศุกร์ ทายโทษทายทุกข์ให้ทายเสาร์ ทายน้ำเมาให้ทายราหู ทายอายุให้ทายเกตุ และทายอาเพศให้ทายมฤตยู

2. ความหมายของเรือนแต่ละเรือน เริ่มด้วยตนุ และไปจบที่วินาศ

3. ความสัมพันธ์ของดาวต่างๆ อันได้แก่ โยค ตรีโกณ กุม และเล็ง เป็นต้น

โดยสรุป ภาคพยากรณ์เกิดขึ้นจากวัน เดือน ปีเกิด และเวลาเกิดมาผูกเป็นดวงแล้วเทียบเคียงกับข้อมูลที่ได้จากข้อสังเกตจากโหราจารย์ในอดีต และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน และอนาคต

ในทำนองเดียวกัน เมื่อจะทำนายดวงเมืองก็เอาดวงเมืองมาวาง ซึ่งจะปรากฏเป็นดวงชะตาดังนี้

ดวงชะตากรุงเทพมหานคร

พระฤกษ์ฝังเสาหลักเมือง ณ วันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325 เวลา 06.54 น.

จากดวงชะตากรุงเทพฯ จะเห็นได้ว่ามีลัคนาอยู่ราศีเมษ ดังนั้นเมื่อดาวราหูและเสาร์โคจรเข้ามาในราศีตุลย์จึงเท่ากับเล็งลัคนาและทำมุมโยคกับดาวพฤหัสบดี และเสาร์เดิมซึ่งอยู่ในราศีธนู พร้อมกันนี้ก็เล็งอาทิตย์ซึ่งกุมลัคนาอยู่ด้วย

จากการที่ดาวเสาร์และราหูซึ่งมีความหมายในทางไม่ดี คือ เสาร์หมายถึงทุกข์ และโทษ ส่วนราหูหมายถึงความมัวเมา เมื่อเล็งลัคนาพร้อมกันก็ทำนายได้ว่าจะเกิดทุกข์เกิดโทษแก่บ้านเมือง โดยมีความโง่ความงมงาย ความดื้อรั้นเป็นเหตุ แต่ทั้งนี้จะต้องดูว่าดาวพฤหัสบดี อันเป็นดาวสติปัญญาถ่วงดุลดาวคู่นี้อยู่ในตำแหน่งที่คานอำนาจได้หรือไม่ด้วย

และเมื่อดูดาวพฤหัสบดีในขณะนี้พบว่า ดาวพฤหัสบดี โคจรในเรือนที่สอง และจากวันที่ 10 ธันวาคมไปเกาะนวางค์อริแล้วถอยองศา จึงเท่ากับดาวพฤหัสบดีอยู่ในตำแหน่งด้อย ไม่สามารถควบคุมเสาร์และราหูได้อย่างเต็มพิกัด จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าจากวันที่ 10 ธ.ค.-พ.ค. อันเป็นช่วงที่ดาวพฤหัสบดีจะโคจรจากราศีพฤษภมีโอกาสเกิดความรุนแรงจากความโง่ และความดื้อรั้นของคนกลุ่มหนึ่งได้ แต่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เด็ดขาดสมบูรณ์ หรือนัยหนึ่งก็คือ จะมีการต่อสู้ยืดเยื้อไปจนถึงเดือนพฤษภาคมจึงจะจบลงได้ และทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางโดยที่คนดื้อรั้นพ่ายแพ้ไปเพราะฝ่ายคุณธรรมเหนือกว่า เมื่อดาวพฤหัสบดีเข้ามาในราศีเมถุน และควบคุมความโง่ ความเลวของราหูได้
กำลังโหลดความคิดเห็น