xs
xsm
sm
md
lg

เก็บตกเรื่องเล่าพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พสกนิกรชาวไทยมาเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่โรงพยาบาลศิริราชออกมาจนถนน 2 ข้างยาวไปถึงลานพระบรมรูปทรงม้า ที่พร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง

ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมีประชาชนมาใช้เวลาในการจับจองพื้นที่เพื่อรอรับเสด็จก่อนเวลานานมากกว่าปี พ.ศ. 2549 โดยเฉพาะบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้านั้นมีประชาชนมาเริ่มรอจับจองพื้นที่ตั้งแต่เวลา 13.00 น.

หมายความว่ามีประชาชนบางกลุ่มได้ใช้ความเพียรอย่างมากและรอคอยยาวนานถึง 22 - 23 ชั่วโมง เพื่อให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รูปที่ 1 ภาพถ่ายกลุ่มพันธมิตรฯที่มาเฝ้ารอรับเสด็จตั้งแต่บ่ายโมงของวันที่ 4 ธ.ค. 2555
ผมสังเกตเห็นได้ชัดเจนต่อมาว่ากลุ่มใหญ่ที่มาใช้เวลารอคอยช่วงด้านหน้า ส่วนใหญ่ก็เป็นประชาชนที่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้วในเช้าวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ก่อนถึงกำหนดการพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเวลานั้นช่วงเวลาตี 3 พื้นที่ด้านหน้าบางส่วนยังว่างอยู่ แต่ปีนี้เพียงแค่ 3 ทุ่มก็ปรากฏว่ามีประชาชนมารอเฝ้ารับเสด็จที่ลานพระบรมรูปทรงม้าจำนวนมากแล้ว แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวของพสกนิกรไทยอย่างมากในปีนี้
รูปที่ 2 ภาพถ่ายที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเวลาประมาณ 21.00 น.ของคืนวันที่ 4 ธ.ค. 2555
จำนวนรถบัสในช่วงตี 5 ถึง 6 โมงเช้า หนาแน่นมากและมีผู้คนจำนวนมากมายเดินลงจากรถและเดินหน้าไปยังลานพระบรมรูปทรงม้าให้ได้ใกล้ที่สุดอันเป็นเป้าหมายของพสกนิกรในเช้าวันนั้น

ประมาณ 7.00 น. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรุ่นหนึ่ง 3 ท่าน ได้แก่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, คุณสนธิ ลิ้มทองกุล, อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, (ส่วนคุณพิภพ ธงไชย ติดภารกิจที่ต่างจังหวัด) และแกนนำรุ่นที่ 2 ได้แก่ คุณตั้ว ศรันยู วงศ์กระจ่าง, คุณศิริชัย ไม้งาม, และผม พร้อมกับนักจัดรายการใน ASTV หลายคนได้เดินทางมาทางถนนศรีอยุธยาเพื่อเดินทางเข้าไปในลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อร่วมถวายพระพรชัยมงคล
รูปที่ 3 พล.ต.จำลอง กับคุณสนธิ ขณะเดินเข้าลานพระบรมรูปทรงม้าได้รับการต้อนรับจากประชาชนตลอดทาง
ระหว่างเดินทางมีแต่คนส่งเสียงต้อนรับ และปรบมือต้อนรับเป็นจำนวนมาก และถ่ายรูปตลอดทาง พอถึงทางเข้าลานพระบรมรูปทรงมาเราก็ได้เห็นมีผู้คนจำนวนมากแน่นขนัดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามจะปิดรั้วไม่ให้คนเข้าในเวลานั้นแล้ว แต่ประชาชนที่รอเข้าต่างก็บอกว่า "ของๆฉันอยู่ข้างใน" ตำรวจจึงไม่สามารถจะปิดกั้นได้ และเมื่อเข้าไปได้แล้วดูเหมือนว่าเราจะไหลไปตามทางและได้รับเสียงปรบมือส่งเสียงต้อนรับแกนนำพันธมิตรฯเป็นจำนวนมากจริงๆ

จำนวนประชาชนได้มารวมกันมากจนแถวยาวไปตลอดถนนราชดำเนิน และบางส่วนก็อยู่ 2 ข้างถนนเพื่อรอเฝ้ารับขบวนเสด็จ ทำให้ประชาชนล้นไปถนนที่เชื่อมกับถนนราชดำเนินหลายสายนับเป็นภาพที่น่าปลื้มปิติจริงๆ

ประชาชนจำนวนมากระหว่างรอคอยต่างจับกลุ่มกันร้องเพลงเทิดพระเกียรติ กันหลายเพลง จนมาถึงเวลาสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาจนถึงหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม มีแต่เสียงทรงพระเจริญกึกก้องไปทั่วลานพระบรมรูปทรงม้า ระหว่างที่มีเสียงตะโกนร้อง "ทรงพระเจริญ" ผมได้ยินเสียงสะอื้นร้องไห้ และเห็นคนน้ำตาไหลในขณะที่เปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ"

เด็กน้อยข้างหลังผมชื่อ "ข้าวตู"มากับ "ใบพลู"น้องสาวและคุณยาย คุณยายเห็นเป็นเด็กจึงให้ขอผู้ใหญ่เดินไปข้างหน้าจะได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในขณะที่ขบวนเสด็จผ่าน ข้าวตูพาใบพลูไปถึงด้านหน้าสุด

เมื่อขบวนเสด็จผ่านแล้วข้าวตูพาน้องสาวกลับมาหาคุณยาย ข้าวตูร้องไห้โฮสะอึกสะอื้นกอดคุณยาย คุณยายถามว่าหนูร้องไห้ทำไมคะ ข้าวตูตอบคุณยายว่า "หนูดีใจ" คุณยายถามว่าหนูดีใจที่ได้เห็นในหลวงใช่ไหม ข้าวตูพยักหน้าและร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนั้นอยู่อีกพักใหญ่

รูปที่ 4 ข้าวตู ร้องไห้ด้วยความดีใจที่ได้เห็นพระพักตร์พระเจ้าอยู่หัว
มาถึงช่วงเวลาสำคัญที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูล พระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนพระบรมวงศานุวงศ์ เสียงประชาชนสงบนิ่งฟังการถวายพระพรชัยมงคล หลังจากนั้นประชาชนก็เปล่งเสียงทรงพระเจริญกึกก้องอีกครั้ง

ต่อมาคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และราษฎรทุกหมู่เหล่า ปรากฏว่าช่วงนั้นผมได้ยินเสียงโห่ต้อนรับอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับคุณสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาก็ได้ยินเสียงโห่จากประชาชนต้อนรับชัดเจนเช่นกัน

สารภาพเลยว่าหลังจากนั้นผมไม่ได้ยินอะไรเลยว่าคุณยิ่งลักษณ์อ่านคำถวายพระพรว่าอะไร?

เพราะประการแรกคุณยิ่งลักษณ์เบี่ยงตัวไปด้านขวา คงเพราะกลัวว่าไมโครโฟนจะกีดขวางสายตาเวลาอ่านสคริปต์ทำให้ปากห่างจากไมโครโฟนมากทำให้ในพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้าแทบไม่ได้ยินเสียงคุณยิ่งลักษณ์เลย

แต่ประการที่สองก็คือประชาชนบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าตลอดจนถึงถนนราชดำเนินต่างพร้อมใจโดยมิได้นัดหมายส่งเสียงดังกึกก้องว่า "ทรงพระเจริญ" ตลอดระยะเวลาที่คุณยิ่งลักษณ์อ่านคำถวายพระพรชัยมงคล

ปรากฏการณ์นี้ไม้ได้เกิดขึ้นกับคุณยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเกิดกับคุณสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาอีกด้วย


ต่อมาเมื่อประธานศาลฎีกา และผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาอ่านคำถวายพระพรชัยมงคล ก็กลับปรากฏว่าประชาชนที่ลานพระบรมรูปทรงม้าต่างให้ความสนใจนั่งฟังโดยสงบอีกครั้ง

และที่ถือเป็นพระราชพิธีพิเศษก็เพราะมีการจัดการถวายสัตย์ของเหล่าทัพในวันเสด็จออกมหาสมาคมให้เป็นวันเดียวกัน ทำให้การถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์ของเหล่าทัพในวันนั้นเป็นการถวายสัตย์โดยมีมวลมหาประชาชนเป็นสักขีพยายานอยู่ด้านหลัง

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ได้กล่าวนำถวายสัตย์ว่า

"ข้าพระพุทธเจ้า จักยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพระพุทธเจ้า จักจงรักภักดีและถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้า จักเชิดชูและรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์ ทั้งจักปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทุกประการ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”

ปรากฏว่าประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จต่างมีความจงรักภักดี จึงตะโกนถวายสัตย์ดังกึกก้องไปทั่วลานพระบรมรูปทรงม้าและถนนราชดำเนิน และหลายคนเปลี่ยนคำถวายสัตย์ว่า "ทหารรักษาพระองค์" เป็น "ประชาชนรักษาพระองค์"

และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสตอบว่า:

“คำอวยพร และคำปฏิญาณ สัญญา ที่ทุกท่านได้กล่าวนั้น เป็นที่ประทับใจมาก ขอขอบใจท่านทั้งหลาย ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคนที่พรั่งพร้อมกันมาด้วยความปรารถนาดี และไมตรีจิต ความปรารถนาดี และความพร้อมเพรียงกันของทุกท่าน อย่างที่ได้เห็นในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจ มีกำลังใจมากขึ้น ด้วยความเชื่อเสมอว่า ความเมตตา ปรารถนาดีของท่านต่อกันนี้ เป็นปัจจัยอย่างสำคัญที่จะทำให้ความพร้อมเพรียงจะเกิดขึ้น มีขึ้นทั้งในหมู่คณะ และในชาติบ้านเมือง

แต่ถ้าคนไทยเรายังมีคุณธรรมอันนี้อยู่ในจิตใจ ก็จะมีความหวังได้ว่า บ้านเมืองไทย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็จะอยู่รอดปลอดภัย และธำรงมั่นคงต่อไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านและชาติไทย ให้มีแต่ความผาสุกร่มเย็น ยิ่งยืนไป”


พลันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า "ความพร้อมเพรียงของทุกท่าน อย่างที่ได้เห็นในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจ มีกำลังใจมากขึ้น" ผมได้ยินเสียงแห่งความปลื้มปิติดีใจ และชื่นใจสำหรับเหล่าพสกนิกรไทยที่มารอเฝ้ารับเสด็จหลายชั่วโมงไปจนถึงหลายสิบชั่วโมง

แม้ปีนี้รัฐบาลได้จัดงานให้ความสำคัญกับงานวันที่ 5 ธันวาคม น้อยกว่าปีก่อนๆ แต่ก็ไม่สามารถทัดทานความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยได้ และงานวันดังกล่าวก็คงจะทำให้คนไทยและคนทั่วโลกได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า

"คนประเทศนี้รักและเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวอย่างหาที่สุดมิได้"


กำลังโหลดความคิดเห็น