“วันนี้ผึ้งได้ลาออกจากการเป็นพนักงานของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิคแล้วค่ะ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพพจน์ของบริษัท
ผึ้งขอขอบคุณและเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนๆ ทุกคนที่ให้กำลังใจ แต่กฎระเบียบต่างๆ ที่มีไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยขององค์กร เราในฐานะสมาชิกขององค์กรก็ต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เหมือนกับกฎหมายที่มีไว้เพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ทุกคนก็ควรที่จะเคารพและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน
ผึ้งจึงอยากขอให้ทุกคนสนับสนุนการตัดสินใจของผึ้งด้วยนะคะ และโปรดอย่าตั้งข้อรังเกียจสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิคในการรักษามาตรฐานของบริษัทเลยค่ะ
ผึ้งมั่นใจว่าสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิคที่ผึ้งทำงานมานานถึง 24 ปี เป็นสายการบินที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและการบริการในระดับโลก พนักงานทุกคนได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดและมีความเป็นมืออาชีพสูง เมื่อผึ้งทำผิดกฎข้อบังคับของบริษัท ผึ้งก็ต้องรับผิดชอบ เหมือนกับทุกคน ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องยอมรับโทษ
ถ้าเราทุกคน ยอมรับและปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของสังคม ทุกคนก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
ผึ้งอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมที่มีกฎระเบียบและเคารพกฎหมาย ประเทศชาติของเราจะได้พัฒนาและมีความสงบสุข
เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่เคารพรักอย่างสูงของพวกเราชาวไทย ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ เราทุกคนมาร่วมกันตั้งต้นทำความดีถวายพระองค์ท่าน ด้วยการประพฤติตนเป็นผู้ที่เคารพกฎระเบียบและกฎหมายของบ้านเมืองกันดีมั้ยคะ เพื่อพระองค์ท่านจะได้สบายพระทัยที่พสกนิกรของพระองค์เป็นผู้ที่เคารพหลักนิติรัฐนิติธรรมและทำร่วมมือกันให้บ้านเมืองของเราสงบสุข ขอบคุณค่ะ”
ข้างต้นคือข้อความในหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวของ Honey Lochanachai หรือ น้องผึ้ง อดีตพนักงานต้อนรับของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ซึ่งได้โพสต์ข้อความหลังจากที่สายการบินได้ออกคำแถลงระบุว่า เธอไม่ได้อยู่ในฐานะของพนักงานอีกต่อไป เมื่อช่วงเย็นวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา
เรื่องของเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ ต้นเรื่องเกิดจากน้องผึ้งได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กภายหลังเกิดเหตุการณ์รัฐตำรวจภายใต้ระบอบทักษิณรุมยำเพื่อสลายการชุมนุมของประชาชนมือเปล่าในนามกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่นำโดย เสธ.อ้ายว่า...
“เศษกระดาษแผ่นนี้พวกอาชีพเดียวกับฉันรู้ดีว่ามันคืออะไร ดูชื่อผู้โดยสารของฉันวันนี้เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปฮ่องกงเช้านี้สิ ตอนที่รู้ว่ามีผู้โดยสารคนนี้บนเครื่อง ประตูเครื่องกำลังจะปิดพอดี
ที่จริงฉันเคยได้ยินเพื่อนๆ บอกว่าไอ้อีตระกูลนี้ มันเดินทางไปฮ่องกงกับพวกเราบ่อยๆ ฉันยังเคยคิดว่าถ้ามีพวกมันบนเครื่อง ก็ต้องไม่มีฉันทำงานบนนั้น
ฉันรีบบอกหัวหน้าว่าวันนี้คงทำงานไม่ได้แล้ว หัวหน้าตกใจว่าเป็นไร เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ ไฟลต์ก็เต็ม ถ้าอยู่ๆ ใครไม่ทำงานซักคนที่เหลือก็เหนื่อยเลยนะนั่น
พอบอกเหตุผล หัวหน้าก็น่ารักบอกว่าเดี๋ยวย้ายให้ไปทำงานจุดอื่นไม่ต้องเจอกับมันก็ได้ แล้วเตรียมออกเดินทาง ฉันรีบโทร.หาที่ปรึกษาด่วน บอกว่าเอาอะไรไปราดหัวมันในไฟลต์นี้ได้มั้ย ได้คำแนะนำว่าอย่าทำ เพราะจะผิดกฎหมายฮ่องกงและไม่คุ้มค่ากัน ความรู้สึกโกรธ เกลียดพวกมันยังไม่จางหายจากเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อวาน ทำให้คับแค้นใจยิ่งขึ้นจนน้ำตาไหลออกมา
ขณะเครื่องบินขึ้นฉันนั่งสงบสติอารมณ์ จนดีขึ้นแล้ว ก็คิดได้ว่า คนตระกูลนี้มันทำลายความสุขของคนไทยมามากพอแล้ว ฉันจะไม่ให้โอกาสพวกมันทำลายความสุขและความดีอีก ใจก็สงบขึ้นมาบ้าง บอกหัวหน้าว่าจะทำงานตามปกติ หัวหน้าก็ตกลงแต่ไม่ต้องไปบริการมัน (คงป้องกันปัญหาด้วย) ตลอดเที่ยวบินมันสวมแว่นกันแดดและหลับเป็นส่วนใหญ่
มีแอบคิดแผนกับน้องคนไทยที่ไม่ชอบพวกมันเหมือนกันว่าจะเข้าไปพูดถากถางพ่อมันก่อนเครื่องลง ดีมั้ย แต่แล้วสติก็ทำงานมากกว่าอารมณ์ไม่เข้าไปตอแยกับมันรู้สำนึกว่าทำไป ก็ไม่มีผลต่อคนที่จิตสำนึกบอดอย่างพวกมัน แถมเราอาจจะต้องเพิ่มภาระเรื่องที่ต้องต่อสู้ขึ้นอีก “อย่าเพิ่มศัตรูในการต่อสู้ จากความโง่ไร้สติของตัวเอง”
ฉันนั่งสงบใจคิดขณะเครื่องลง ความรู้สึกของเสธ.อ้าย ตอนที่พูดคำว่า “เสธ.อ้าย ได้ตายไปแล้ว” เมื่อเย็นวานนี้ คงเจ็บปวดมากกว่าฉันตอนนี้นัก ฉันกลั้นน้ำตาที่อยากไหลออกมาไว้แค่นั้น กลืนมันกลับเข้าไปในอก บอกตัวเองว่า เราจะต้องต่อสู้กับคนเลวในบ้านเมืองอย่างมีสติ ด้วยปัญญา และความถูกต้องชอบธรรม
อย่างน้อยวันนี้ ฉันเอาชนะความโกรธ ความเกลียดอย่างแรงที่มีอยู่ ไม่ให้มันมามีอำนาจสร้างปัญหาเพิ่มทุกข์ให้ฉันได้
แพทองธาร วันนี้ไม่โดนฉันเอากาแฟสาดหน้า แต่มันไม่รู้ว่าฉันจะต่อสู้ ทำให้พวกมันไม่ได้อยู่เป็นเสนียดจัญไรบนแผ่นดินไทยอีกต่อไป”
จากโพสต์นี้เองได้สร้างสีสันให้กับโลกสื่อสังคมออนไลน์อย่างครึกครื้น เพียงไม่นานก็ปรากฏเป็นข่าวในหน้าสื่อสารมวลชน แล้วก็ยึดพื้นที่สื่อต่อเนื่อง ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อเนื่องชนิดสะเทือนเลือนลั่นตามมา ตามแต่ว่าใครมีพื้นฐานความคิดเพื่อชาติและประชาชน หรือเพื่อคนในตระกูลชินวัตรและเครือข่ายระบอบทักษิณ
ผมมองเห็นปรากฏการณ์กาแฟราด “ซาลาเปาหมูหน้าเหลี่ยมลูกเล็ก” กลายเป็นเมนูเด็ดที่ถูกเสิร์ฟให้สังคมไทยอย่างตั้งใจตลอดกว่าสัปดาห์มานี้ว่า เป็นเรื่องไม่ธรรมดาแน่นอน เหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งตั้งใจและต้องการกำหนดวาระข่าวแย่งชิงพื้นที่สื่ออยู่ทุกวัน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้กลบกระแสข่าวคาวฉาวโฉ่ที่พวกเขารวมหัวกันสร้างสมไว้ ไม่ว่าจะเรื่องล้มเจ้า เรื่องทุจริตโกงกินกันเกลื่อนกลาดอย่างกรณีจำนำข้าว หรือเรื่องราวเลวร้ายอื่นๆ ซึ่งบางเรื่องก็เพิ่งถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมาหมาดๆ
โดยไม่สนว่าจะขัดความรู้สึกคนไทยจำนวนมากแค่ไหน หรือเป็นประเภทว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เพราะไปสอดคล้องกับพฤติกรรมในอดีตที่พวกเขาทำไว้
ตลกไหมครับ กับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แค่เพียงเธอคิดอะไรไว้ในใจ แถมยังมีสติสัมปชัญญะหักห้ามใจตนเองไม่ให้ทำในสิ่งไม่ดีไม่งาม สื่อให้เห็นว่าเธอเอาศาสนาเป็นเครื่องนำทางชีวิต มีความรักและเสียสละเพื่อชาติ เทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เธอกลับถูกคนกลุ่มหนึ่งตามล่าล้างผลาญจนส่งผลกระทบทั้งส่วนตัวและครอบครัว แถมยังต้องตกงานอีกต่างหาก
ทีกลับคนกลุ่มดังว่านี้คิดเสียงดังฟังชัดจนสาธารณชนรับรู้ไปทั่ว แล้วก็ลงมือปฏิบัติจริงอย่างสร้างฝูงชนบ้าคลั่ง เที่ยวเอาเลือดชั่วๆ ไปไล่สาดบ้านคนอื่น บุกทำลายเวทีการประชุมนานาชาติจนผู้นำประเทศต่างๆ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไล่ล่าทำร้ายและหมายเอาชีวิตฝ่ายตรงข้าม ไม่เว้นแม้คนระดับนายกรัฐมนตรี เผาบ้านเผาเมืองจนราบเป็นหน้ากลอง ไม่สนคำสอนศาสนา เห็นสมบัติชาติและแผ่นดินเป็นสินค้า ยิ่งการจ้องล้มสถาบันก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้ว เหล่าคนที่มีพฤติกรรมคิดและทำจริงแบบที่ว่า แต่กลับได้รับทั้งเงินทองและตำแหน่งแห่งหน แถมหลายคนได้ดิบได้ดีได้เป็นถึงรัฐมนตรีเลยด้วย
ความจริงที่หยิบยกเอาเรื่องราวของอดีตแอร์สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค มาบอกเล่า เพียงอยากจะชี้ให้เห็นเรื่องราวดีๆ ในวาระอันเป็นมิ่งมหามงคลสมัยสำหรับพสกนิกรชาวไทย อยากให้ทุกท่านกลับไปทบทวนความคิดของน้องผึ้งหรือ Honey Lochanachai ข้างต้นกันดูนะครับ สำหรับผมเห็นว่าทุกความระหว่างบรรทัดเธอให้สิ่งดีๆ ไว้กับสังคมไทยเยอะมาก
ผมอยากจะบอกไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า เธอคืออีกหนึ่งผลผลิตอันมากค่าและงดงามของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะลูกนกพิราบขาวจากคณะการสื่อสารมวลชน ที่ได้ไปโบยบินอยู่กับสายการบินระดับนานาชาติมาถึง 24 ปี วันนี้ปีกอันกล้าแกร่งเติบใหญ่สมวัยของเธอได้สร้างสิ่งดีงามให้กับสังคมไทยจนประจักษ์แล้ว