xs
xsm
sm
md
lg

ขบวนการ “เกลียดตัว” แต่ “อยากกินไข่-สนธิลิ้ม!” (ตอนสอง)

เผยแพร่:   โดย: ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

กีฬา-แพ้หรือชนะเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเมือง-ฝ่ายคนดีต้องพยายามชนะ และต้องชนะให้มากที่สุด เพราะการแพ้เพียงครั้งเดียวของคนดี อาจทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหายยับเยินยาวนาน!

ชนะ-โดยไม่มีการสูญเสียได้นั้น-สุดยอด ชนะ-โดยมีการสูญเสียบ้างแต่ผลได้คุ้มค่า-ก็ยอดอีก แพ้-โดยไม่มีการสูญเสียชีวิตผู้คนถือว่า-ยังพอรับได้ แพ้-แบบสูญเสียชีวิตผู้คนมากมาย โดยไม่ได้อะไรให้ชาตินั้น-ไม่ดีแน่!

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (People's Alliance for Democracy, PAD) หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง ที่มี มือตบเป็นสัญลักษณ์ เป็นกลุ่มประชาชนจำนวนมากมาย ที่พร้อมใจกันออกมาขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในยุคพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2548

การต่อสู้ของชาวพันธมิตรฯ กล้าหาญและเสียสละ เพราะเป็นศูนย์รวมของผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆ มาข้องเกี่ยว พันธมิตรฯ จึงเป็นองค์กรอิสระที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อชาติและประชาชน โดยไม่มีนักการเมืองใดมาครอบงำบงการได้อย่างแท้จริง!

การต่อสู้ครั้งแรกเพื่อขับไล่นายกฯ ทักษิณของพันธมิตรฯ นั้น มีนักการเมืองบางคนในพรรคสีฟ้าและแฟนคลับ ซึ่งเรียกกันในภายหลังว่า “พันธมิตรสาวกแมลงสาบสีฟ้า” ได้เข้าร่วมการชุมนุมทั้งลับและเปิดเผย โดยมีนายทหารใหญ่บางคนในกองทัพที่ถูกรัฐบาลทักษิณแทรกแซงจนถึงขั้นจะโดนย้ายจากตำแหน่งสำคัญๆ ในกองทัพบก ฯลฯ ตามติดสถานการณ์ราว “พยัคฆ์รอตะครุบเหยื่อ” อยู่เงียบๆ

ดังนั้น..ห้วงการชุมนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณยกแรกของพันธมิตรฯ จึงดำเนินไปท่ามกลางกระแสข่าวลือหนาหูว่า หากรัฐบาลทักษิณปราบประชาชนที่ต่อสู้ขับไล่รัฐบาลด้วยสองมือเปล่าเมื่อไหร่ รัฐบาลทักษิณอาจถึงกาลอวสาน...

อย่างไรก็ตาม ห้วงนั้น..คอการเมืองบางฝ่าย ก็ไม่เชื่อในทฤษฎีทหารจะออกมาจัดการรัฐบาลชั่ว หากประชาชนที่มีเพียงสองมือเปล่าถูกปราบปราม!

เพราะรัฐบาลทักษิณอยู่ในอำนาจรัฐมายาวนาน ได้โยกย้ายนายทหารใหญ่น้อยในกองทัพหลายรอบ ถึงขนาดลูกพี่ลูกน้องทักษิณ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ได้ขึ้นเป็นถึงผบ.ทบ. ภาพภายนอกจึงดูเสมือนรัฐบาลทักษิณแข็งแกร่งมั่นคงดุจกำแพงเหล็ก

แต่เพราะรัฐบาลทักษิณมากด้วยพฤติกรรมโกงชาติ แถมปล่อยให้ขบวนการล้มเจ้าเติบใหญ่ จนบ่อนทำลายความมั่นคงของพระมหากษัตริย์กันอย่างเปิดเผย แถมขบวนการล้มเจ้าบางคนยังทำงานอยู่กับนายกฯ ทักษิณด้วยซ้ำไป อีกทั้งเงื่อนไขทางการเมืองหลายอย่างในขณะนั้น เป็นคุณอย่างยิ่งต่อการต่อสู้ของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป 70,000 กว่าล้านบาท ให้กับประเทศสิงคโปร์โดยไม่ยอมเสียภาษีแม้แต่บาทเดียวให้ชาติ ฯลฯ

นั่นทำให้คลื่นเรียกร้องทักษิณให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางทั้งประเทศ เมื่อพันธมิตรฯ ประกาศจะชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ในวันที่ 20 กันยายน 2549 รัฐบาลทักษิณจึงใช้แผนชั่วช้าสามานย์หวังจะใช้ “ประชาชน-ปราบ-ประชาชน” โดยให้ ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยในจังหวัดต่างๆ ขนผู้คนมาข่มขู่คุก คามฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทักษิณ โดยให้กองกำลังอันธพาลทางการเมืองเหล่านี้ชุมนุมกันอยู่ที่สวนจตุจักร!

ครั้งนี้..ทฤษฎีประชาชนออกก่อน-ทหารตามหลัง-จึงเกิดขึ้นจริง โดยคณะรัฐประหารใช้ข้ออ้างทั้งเรื่องประชาชนจะเข่นฆ่าประชาชน รัฐบาลมีการคอร์รัปชันโกงชาติบ้านเมือง รัฐบาลปล่อยให้มีการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผบ.ทบ.พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จึงนำทหารลากรถถังออกมารัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลทักษิณลง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไงล่ะครับ

แต่การลงทุนสูงถึงขั้นทำรัฐประหารครั้งนั้น-ไม่คุ้มค่า เป็นรัฐประหารแบบ “เยี่ยวไม่สุด” เพราะคณะรัฐประหารไม่ได้จัดการกับขบวนการคนชั่วอย่างทักษิณและพวกโดยเด็ดขาด

นอกจากคณะรัฐประหารกับรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะปล่อยให้คนชั่วอย่างทักษิณและพวกลอยนวลแล้ว ยังจงใจปล่อยให้ทักษิณใช้เงินโกงชาติ กลับมาซื้อเสียงยึดอำนาจรัฐไว้ในกำมือได้อีกครั้ง ในนามรัฐบาลนอมินี สมัคร สุนทรเวช

เรียกว่า-คณะรัฐประหารกับรัฐบาลของเขา ทำแค่ยึดอำนาจรัฐมาจากมือทักษิณชั่วคราวเท่านั้นไม่มีการปฏิรูปทางการเมืองใดๆ เพื่อป้องกันมิให้นักการเมืองชั่วใช้เงินซื้อเสียง กลับมายึดอำนาจในสภาและรัฐบาลแม้แต่น้อย ฯลฯ

นับเป็นการทรยศต่อประชาชนอย่างเลือดเย็นที่สุด เพราะประชาชนคนไทยได้เสี่ยงชีวิตออกไปต่อสู้กับรัฐบาลทักษิณ แต่นายทหารในคณะรัฐประหารบางคนกับรัฐบาลของเขา กลับแอบไปติดต่อสมานฉันท์กับทักษิณและพวกเฉยเลย

งานนี้จึงเป็นเรื่องทหารอย่าง “บิ๊กบัง” กับพวก ใช้จังหวะพันธมิตรฯ รบกับรัฐบาลทักษิณ ทำรัฐประหารสวาปามอำนาจและเงินทองกันจนปากเยิ้ม โดยปล่อยให้ชาติวินาศสันตะโรไงล่ะครับ!
เป้าหมายต้องปฏิรูป-ภาคประชาชนนำหน้าอย่าพึ่งพาคนอื่น!!
เป้าหมายต้องปฏิรูป-ภาคประชาชนนำหน้าอย่าพึ่งพาคนอื่น!!
... หากเกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคตก็ต้องเกิดขึ้นจากภาคประชาชนที่ตื่นตัว และนำหน้าพวกนักการเมือง หรือแม้แต่ฝ่ายกองทัพ เพราะที่ผ่านมามีการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่าการเปลี่ยน “ขั้วอำนาจ” ก็เปล่าประโยชน์ มิหนำซ้ำยังทำร้ายบ้านเมืองมากกว่าเดิม อีกทั้งที่ผ่านมาภาคประชาชนเริ่มตื่นตัวรู้ทันและ “ไม่ยอมก้มหัวสยบยอม” ให้นักการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ แม้คราวนี้จะต้อง “ล่าถอย” กลับไป แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราวและต้องปรับกระบวนกันใหม่เข้าสู่การ “ปฏิรูป”ทั้งระบบอย่างขนานใหญ่ ต้องกระตุ้นให้สร้าง “ระบบการตรวจสอบ” ทุกระดับให้เข้มแข็ง เท่านั้นถึงจะกำจัดการเมืองชั่วออกไปได้...
กำลังโหลดความคิดเห็น