xs
xsm
sm
md
lg

การคุ้มครองผู้บริโภคในยุค 3G

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

“ระบอบประชาธิปไตยจะกลายเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ
หากผู้บริโภคไม่มีอำนาจ
ไม่มีองค์การที่อิสระปราศจากการครอบงำของทุนและนักการเมือง
เพื่อทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิของตนเอง”


​ข้อความข้างต้นนี้เป็นบทสรุปสั้นๆ ของผมเองครับซึ่งเขียนให้กับ “องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน” ในฐานะกรรมการผู้เชี่ยวชาญการคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการสาธารณะ

​อ่านมาถึงตอนนี้ ผมเชื่อว่าหลายท่านคงมีข้อสงสัยบ้างไม่มากก็น้อยว่า เอ๊ะ มันคือองค์การอะไรกัน ไม่เคยได้ยิน เดี๋ยวผมจะค่อยๆ ลำดับเรื่องราวตั้งแต่ความเป็นมา ข้อด้อยของผู้บริโภค และข้อได้เปรียบของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค 3G ที่การสื่อสารได้สะดวกรวดเร็วจนส่งผลให้ผู้บริโภคมีโอกาสถูกมอมเมาและโฆษณาชวนเชื่อให้ตกเป็นทาสของผู้ประกอบการที่มีโอกาสร่ำรวยได้อย่างไม่มีขีดจำกัดในยุค 3G

​เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 55 องค์การที่ผมว่านี้ได้จัดเวทีสาธารณะ โดยใช้ชื่อว่า “15 ปีที่ผลักดันองค์การอิสระ เมื่อไม่มีกฎหมาย ผู้บริโภคควรทำอย่างไร” โดยมีเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคเข้าร่วมประมาณ 100 คน

​ในการนี้นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นปาฐกในหัวข้อเดียวกับที่ผมนำมาเป็นชื่อบทความนี้

​คุณหมอได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงความจำเป็นของประเทศที่ต้องมีองค์การคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นว่า โดยปกติคนเราจะทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ผลิตและเป็นผู้บริโภคในคนเดียวกัน แต่ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตเราจะศึกษาจนรู้ลึกและเชี่ยวชาญเพียงเรื่องเดียว

​แต่ถ้าในฐานะที่เป็นผู้บริโภคนั้น เราจำเป็นต้องบริโภคสินค้าหลายๆ อย่าง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครคนใดคนหนึ่งจะรู้เรื่องสินค้าเหล่านั้นอย่างดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจบริโภคหรือซื้อบริการ และในบางกรณี เช่น ที่เกี่ยวกับยานั้น ยารักษาโรคเดียวกันแต่มีหลายพันชนิด จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งที่จะเอาตัวเองเข้าไปลองยา

​ในขณะที่ผู้ผลิตสินค้าจะทำการตลาด รู้จิตวิทยาและนิสัยของผู้บริโภคและสังคมเป็นอย่างดี โดยการว่าจ้างนักการตลาดชั้นเยี่ยม พรีเซนเตอร์ชื่อดัง เป็นต้น จนทำให้ผู้บริโภคบางคนต้องซื้อไอโฟนทุกรุ่นมาใช้เพราะรู้สึกว่ามันสามารถเปล่งประกายแทนตนได้ บางคนซื้อรถเบนซ์มาใช้เพราะรู้ว่าตำรวจไม่จับแม้ได้กระทำผิดกฎจราจรแล้วก็ตาม

​คุณหมอประวิทย์ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันนี้ผู้ที่ติดจานดาวเทียมสามารถรับโทรทัศน์ได้มากกว่า 400 ช่อง หลายช่องจะให้ข้อมูลข่าวสารเพียงเรื่องเดียวทั้งวันทั้งคืน จึงทำให้ผู้ชมมีความสนใจและรับรู้ข่าวสารได้เพียงเรื่องที่ตนสนใจเท่านั้น

​ดังนั้น หากผู้บริโภคต้องการจะรู้เท่าทันผู้ผลิตก็จำเป็นจะต้องมีการรวมตัวกันเป็นองค์กร เพื่อทำงานศึกษารวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ประเภทของสินค้าแล้วนำผลการศึกษาเหล่านั้นมาให้กับผู้บริโภคได้เข้าใจรับทราบ

​ขอย้ำ (ผมย้ำเอง) ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บริโภคจะมีความรอบรู้และเท่าทันผู้ผลิตได้โดยลำพังตนเอง

​ที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงแค่การรู้เท่าทันตัวสินค้าและเล่ห์เหลี่ยมของผู้ผลิตเท่านั้น แต่ในกรณีที่มีการร้องเรียนหรือจำเป็นต้องฟ้องร้องคดีเกิดขึ้น ผู้บริโภคมีความพร้อมที่จะกระทำหรือไม่ เพราะนอกจากจะต้องเอาชนะความกลัวจากอิทธิพลแล้ว ยังเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูงทั้งเรื่องเงินทองและเวลา บางรายใช้เวลา 15-16 ปีแล้ว คดีก็ยังไปไม่ถึงไหน สุภาษิตจีนถึงกับกล่าวว่า “เป็นความกัน กินขี้หมาดีกว่า”

​ครั้นจะให้ส่วนราชการที่ดูแลเรื่องผู้บริโภคฟ้องร้องแทน ก็เป็นไปไม่ได้เพราะส่วนราชการไทยมีกฎระเบียบว่าจะไม่ฟ้องร้องกันเอง

​ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผู้บริโภคซึ่งก็คือประชาชนทุกคนต้องรวมตัวกันเป็นองค์กร

​ความจริงแล้ว รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 57 ว่าต้องมีองค์กรมาทำหน้าที่ดังกล่าว และองค์กรเครือข่ายที่ทำงานด้านผู้บริโภคทั่วประเทศก็ได้เรียกร้องให้มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่แรก

​ในรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ได้กำหนดไว้ในมาตรา 61 จนบัดนี้เกือบจะครบ 15 ปีเต็ม องค์กรภาคประชาชนก็ยังคงเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง แต่กฎหมายก็ยังไม่คลอดออกมาเสียที ทั้งๆ ที่บทเฉพาะกาล (มาตรา 303) ได้กำหนดว่าต้องออกกฎหมายประกอบให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลชุดแรกที่มาจากการเลือกตั้ง

​นี่ก็เลยวันเวลานั้นมาเกือบจะ 4 ปีแล้ว

​ความจริงแล้ว ร่างกฎหมายว่าด้วยองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งริเริ่มโดยการเข้าชื่อ 12,208 รายชื่อของภาคประชาชน (19 ก.พ. 52) ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎร (20 เม.ย. 54) และวุฒิสภา (10 พ.ค. 54) ไปแล้ว แต่เนื่องจากทั้งสองสภามีความเห็นไม่ตรงกันในบางประเด็น สภาผู้แทนฯ (5 ก.ย. 55) จึงต้องตั้งกรรมาธิการร่วมจำนวน 22 คนมาพิจารณากันใหม่ แต่ไม่มีหลักประกันว่ากฎหมายฉบับนี้จะได้ออกหรือไม่ เมื่อใด

​เท่าที่ผมทราบจากกรรมาธิการบางท่านว่า แทนที่กรรมาธิการชุดนี้จะพิจารณาเฉพาะในประเด็นที่เห็นไม่ตรงกันเท่านั้น แต่กลับไปพิจารณาในประเด็นสาระสำคัญอย่างอื่นที่เคยผ่านการพิจารณาของแต่ละสภาไปแล้วด้วย

​ตัวอย่างประเด็นที่ทั้งสองสภาเห็นไม่ตรงกัน เช่น งบประมาณอุดหนุนองค์การอิสระฯ สภาผู้แทนฯ เห็นว่าควรจะอุดหนุนหัวละ 3 บาทต่อปี (จากประชากรทั้งประเทศ) แต่วุฒิสภาได้ขอแก้ไขเป็น 5 บาท หลักการคิดดังกล่าวตั้งอยู่บน “เพื่อความอิสระ” ขององค์การที่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ไม่ขึ้นกับนโยบายของรัฐบาล (ซึ่งจะทำให้ไม่อิสระ) แต่แทนที่กรรมาธิการชุดนี้จะพิจารณาฟันธงไปเลยว่าจะให้กี่บาทกันแน่ กลับมีการเสนอให้แล้วแต่การจัดสรรของรัฐบาล เป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่อิสระแน่นอนเพราะรัฐบาลมักเป็นตัวแทนกลุ่มทุน

​นอกจากนี้ ยังได้มีการหยิบยกประเด็นที่ทั้งสองสภาเห็นเหมือนกันแล้วกลับมาพิจารณากันใหม่ เช่น การให้อำนาจองค์การอิสระฯ ตรวจสอบธุรกิจเอกชนที่ละเมิดสิทธิของผู้บริโภค การเปิดเผยชื่อสินค้าหรือบริการที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค เป็นต้น

​สิ่งที่คณะกรรมาธิการร่วม 22 คนชุดนี้กำลังกระทำอยู่ ทำให้เป็นที่กังวลว่า นอกจากความล่าช้าแล้ว ร่างกฎหมายดังกล่าวจะบิดเบือนเจตนารมณ์ที่สำคัญของร่างเดิมด้วย คือ เน้นความเป็นอิสระจากภาครัฐและภาคทุน รวมทั้งการมีอำนาจตรวจสอบ ถ่วงดุล รวมทั้งการขยายและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายผู้คุ้มครองผู้บริโภคทั่วประเทศ

​ขณะเดียวกัน จากบทเรียนที่ได้สะสมมาอย่างยาวนาน 15 ปี เครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศจำนวน 302 องค์กรก็ได้จัดประชุม (12 มิ.ย. 55) เพื่อจัดตั้งและคัดเลือกคณะกรรมการชุดชั่วคราว โดยใช้ชื่อว่า “องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน” และผมเองก็ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 15 คน (อ่านรายละเอียดได้ที่ www.consumerthai.org)

​คณะกรรมการชุดนี้ นอกจากจะทำหน้าที่ประสานเครือข่ายแล้วยังร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพด้วย นอกจากนี้ยังได้คัดเลือกประเด็นมาเน้นในการรณรงค์ต่อสาธารณะ 3 ประเด็นคือ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคาร (ใครรู้สึกว่าตนเองถูกเอาเปรียบยกมือขึ้น) ประเด็นนโยบายรัฐในการจัดการพลังงานหมุนเวียน และการประกันสังคมมาตรฐานเดียว

​โดยความรู้สึกของผมแล้ว ผมเห็นว่าการที่สังคมไทยหันมาให้ความสำคัญกับกระบวนการประชาธิปไตย โดยเน้นไปที่กระบวนการเลือกตั้ง การแบ่งเลือกตั้ง การทุจริตในภาครัฐ การตรวจสอบ ถ่วงดุล ฯลฯ นั้น ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ เป็นความก้าวหน้าระดับหนึ่ง แต่ผมเห็นว่า หากผู้บริโภคซึ่งเป็นประชาชนทุกคนไม่มีอำนาจในการคุ้มครองสิทธิของตนเองแล้ว กระบวนการประชาธิปไตยทั้งที่กล่าวมาแล้วและที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เหลวไหล ไร้สาระ ที่ผู้บริโภคถูกนักการเมืองและกลุ่มทุนหลอกให้ภูมิใจเล่นเท่านั้นเอง

​ผู้บริโภคทั้งหลายจงรวมตัวกันเพื่อเป็นพลังในการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงสังคมต่อไป แม้นไม่มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมารองรับก็จงอย่าท้อถอย นี่คือบทพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า นักการเมืองไม่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคซึ่งอ่อนแอ ดังนั้นผู้บริโภคต้องพึ่งตนเองและตนเองเท่านั้น

​พันธมิตรที่ดีที่สุดของผู้บริโภคไม่มีใครอื่นอีกแล้ว นอกจากประชาชนเท่านั้น

กำลังโหลดความคิดเห็น