ผมได้ติดตามพ่อท่านโพธิรักษ์โดยแอบเป็นศิษย์อยู่ห่างๆ มานานแล้ว บารมีไม่แก่กล้าพอที่จะเป็นสาวก ด้วยกิเลสที่ยังหนา และยังยึดติดในรสอาหาร กลัวว่าจะหลงใหลไปกับอาหารมังสวิรัติ
อีกทั้งยังมีบทเรียนที่เคยเจ็บปวดจากการไปหลงคารมของพระสงฆ์องค์เจ้าบางรูป ทำให้ไม่ค่อยอยากมอบกายถวายใจไปเป็นสานุศิษย์สายใด แต่ก็ชอบสนทนาธรรมกับพระเจ้าเก้าตื้อ แห่งวัดสวนดอก และฝึกสมาธิกับพระพุทธรูปองค์ประธานในอุโบสถบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย
ผมคอยเอาใจช่วยพ่อท่านโพธิรักษ์อยู่เงียบๆ มาตั้งแต่ถูกรังแกจากคณะสงฆ์ไทย โดยที่ท่านเองก็ไม่ยอมหวั่นไหวต่อข้อครหาและยังคงเชื่อมั่นต่อความถูกต้องในแนวทางตามคำสอนแห่งองค์พระศาสดา
สำนักสันติอโศกกลับขยายตัวไปทั่วประเทศอย่างช้าๆ แต่มั่นคง และเต็มไปด้วยบุคคลคุณภาพ ทั้งสมณะ สิกขมาต และญาติธรรม ที่มีความเสียสละอย่างสูง ความมุ่งมั่นในธรรม และวินัยที่เคร่งครัด จนสามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพอย่างหมอเขียว คุณแซมดิน คุณดินนา และอีกหลายๆ ท่าน ซึ่งผมต้องยอมรับในความเป็นยอดมนุษย์ ทั้งคำพูด การกระทำ และสติปัญญา
ชาวอโศกได้สร้างชุมชนต้นแบบขึ้นมากมายในทุกภูมิภาคของประเทศ ต้นแบบของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ที่มีอย่างมั่นคง ชัดเจน และพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีพ่อท่านโพธิรักษ์เป็นเสาหลักแห่งชุมชนอโศก ยืนหยัดเผยแพร่สัจธรรมแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการกระทำที่เป็นตัวอย่างและการเทศนาสั่งสอน
ตั้งแต่การชุมนุมที่สนามหลวงและต่อเนื่องมาถึงการชุมนุมของพันธมิตรฯ 193 วัน และ 158 วัน ฐานเสบียงสำคัญและกำลังหลักที่คอยสนับสนุนการเมืองภาคพลเมืองก็คือเจ้าสำนักสันติอโศกนี่เอง แม้จะต้องอดทนท่ามกลางแรงกดดัน การใส่ร้ายป้ายสี ตามมาด้วยคดีความที่ถูกยัดเยียดให้กับพ่อท่านโพธิรักษ์ แต่ท่านก็ยังแสดงให้เห็นถึงความสงบนิ่ง เยือกเย็น ไม่หวั่นไหว มั่นคงในอุดมการณ์ ศรัทธาในความเป็นมนุษย์ ยึดมั่นในความจริง ความดีงาม และความยุติธรรม
ในการเข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม นำโดยพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 พ่อท่านโพธิรักษ์และชาวอโศกต่างทุ่มเทพลังกาย พลังใจ นำมวลชนญาติธรรมจากทั่วประเทศมาเข้าร่วมด้วยหัวใจดวงเดียวกับมหาชนนับหมื่น นับแสนคนที่ต่างก็มีหัวใจเดียวกันคือยอมสละเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์
คุณแซมดิน ศิษย์เอกที่เป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบการเตรียมงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยภายใน 3 วัน ตั้งแต่เวที เต็นท์ เสบียงอาหาร ห้องสุขา ตลอดจนดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องที่มาร่วมชุมนุมได้อย่างน่าอัศจรรย์ เบื้องหลังคือความเหนื่อยยากสายตัวแทบขาดของชาวอโศก
เมื่อเกิดเหตุปะทะกัน 2 ครั้งในช่วงเช้าและบ่าย 2 โมง มีผู้บาดเจ็บหลายร้อยคน และถูกจับกุมไปอีกกว่าร้อยคน ทั้งที่เป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ ตามรัฐธรรมนูญ
ในช่วงบ่าย 2 โมงของวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้เอง พ่อท่านโพธิรักษ์ได้เข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยยึดมั่นในหลักการแห่งสันติ อหิงสา แต่คนใจสัตว์ในคราบมนุษย์กลับยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ ในขณะที่พ่อท่านโพธิรักษ์และสมณะอีกหลายรูปกำลังนั่งอย่างสงบ จนเกือบเป็นลมหายใจสุดท้ายตามที่ท่านได้เล่าให้ฟังบนเวทีว่าอาการเมื่อใกล้สิ้นลมเป็นเช่นนี้เอง
จนกระทั่งมีคนเอาน้ำไปราดใส่ตัวท่าน แล้วรีบเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่คลุมศีรษะและช่วยกันประคองสังขารวัย 77 ปีของท่านออกมาจากบริเวณนั้นได้ทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่
พ่อท่านโพธิรักษ์ยอมเสียสละขนาดนั้นเพื่อสิ่งใด ทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมในวันนั้นไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ หรือไม่ต่างก็คิดเห็นตรงกัน เพราะหากสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน สิ้นกษัตริย์ ศาสนาจะเหลืออะไร หากคนชั่วปกครองบ้านเมือง ธรรมะอาจต้องพ่ายแพ้ต่ออธรรม
การยุติการชุมนุมของเสธ.อ้าย ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ เพราะพ่อท่านโพธิรักษ์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือการชนะใจตนเอง ชนะความกลัวตาย ทุกคนต่างมาเพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่ตนเชื่อ
พ่อท่านโพธิรักษ์และชาวอโศกคือเสาหลักของพันธมิตรฯ เสธ.อ้ายก็คือพันธมิตรฯ คนหนึ่ง กำลังหลักของการชุมนุมทั้ง 2 ครั้งที่เกิดขึ้นก็คือพี่น้องพันธมิตรฯ จากทั่วประเทศ รวมทั้งญาติธรรมทั่วประเทศของลุงจำลองก็มาร่วมอยู่ในการชุมนุมบนถนนราชดำเนิน เป็นครั้งแรกที่ไม่มีลุงจำลองมาด้วย เพราะท่านก็ต้องเคารพในระเบียบวินัยและมติของพันธมิตรฯ
ผมมาเข้าร่วมกับเสธ.อ้ายโดยไม่ลังเลในครั้งนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มาด้วยความเชื่อและศรัทธาในตนเองซึ่งอาจไม่ตรงกับมุมมองของแกนนำพันธมิตรฯ
พี่น้องพันธมิตรฯ ที่มาเข้าร่วมในวันนั้นอาจกลับไปพร้อมกับความเจ็บปวด ขมขื่นใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดสิทธิและหลักการของกฎหมายสูงสุด ซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ได้มาร่วมแสดงพลังด้วยกัน ตามที่ลุงจำลองเคยบอกว่า “ผมมาด้วยศรัทธาของตนเอง” เช่นเดียวกับพันธมิตรฯ อีกนับหมื่นคนที่แม้ไม่มีป้ายบอก แต่มองตาก็รู้จักกัน
ผมเป็นคนสุดท้ายที่ลงจากเวทีหลังจากผ่านไป 12 ชั่วโมง ส่งทุกคนที่ตกค้าง หลงทาง และพลัดพรากกันให้กลับบ้าน แล้วตามไปเยี่ยมคนเจ็บ สิ่งที่ได้เห็นคือหลายคนน้ำตาคลอเมื่อยามจาก บางคนกัดกรามแน่นด้วยความคับแค้น
รัฐตำรวจได้สถาปนาชัดเจน การจับนักข่าวกระทืบ ยิงแก๊สน้ำตาใส่สมณะอย่างจงใจ ทำร้ายพี่น้องที่ปราศจากอาวุธอย่างป่าเถื่อน สิ่งเหล่านี้พวกเราจะไม่มีวันลืม
แม้ เสธ.อ้ายจะยุติบทบาทแกนนำผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ผมได้ประกาศแล้วว่าจะไม่ยอมสยบต่อพี่น้องทรราชคู่นี้ วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้าย ผมเชื่อว่าสักวันผู้ที่ยึดมั่นในความดีงามจะต้องได้ชัยชนะ
ขอบคุณพันธมิตฯ ทุกท่านที่เสียสละทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ ตากแดด ตากฝน อดทนมาด้วยกัน รวมทั้งสนับสนุนกำลังทรัพย์เพื่อร่วมกันกอบกู้ชาติบ้านเมืองของเรา ขอบคุณเฮียบุ๊งและคณะโรงครัวที่ติดตามดูแลปากท้องพวกเรามาเสมอไม่เคยขาด และขอบคุณในน้ำใจของทุกคนจากใจจริง
แม้จะเหน็ดเหนื่อยก็อย่าท้อแท้ อย่าหมดหวัง จงเชื่อมั่น และศรัทธาในตนเอง อย่างหลงในอัตตาจนกลายเป็นคนวิเศษกว่าคนอื่น และจงเคารพในความเป็นมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียม
ขอคารวะด้วยหัวใจ แด่นักรบแห่งธรรม พ่อท่านโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก
“แพ้เกมชีวีสิ้นดีทุกอย่าง แต่ก็ภูมิใจไม่จาง ที่จิตของเรามิเลวพ่ายตาม
ยังยิ่งยงเป็นใจดวงงาม แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง”
ประพันธ์โดย รักษ์ รักพงษ์ (สมณะโพธิรักษ์)
อีกทั้งยังมีบทเรียนที่เคยเจ็บปวดจากการไปหลงคารมของพระสงฆ์องค์เจ้าบางรูป ทำให้ไม่ค่อยอยากมอบกายถวายใจไปเป็นสานุศิษย์สายใด แต่ก็ชอบสนทนาธรรมกับพระเจ้าเก้าตื้อ แห่งวัดสวนดอก และฝึกสมาธิกับพระพุทธรูปองค์ประธานในอุโบสถบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย
ผมคอยเอาใจช่วยพ่อท่านโพธิรักษ์อยู่เงียบๆ มาตั้งแต่ถูกรังแกจากคณะสงฆ์ไทย โดยที่ท่านเองก็ไม่ยอมหวั่นไหวต่อข้อครหาและยังคงเชื่อมั่นต่อความถูกต้องในแนวทางตามคำสอนแห่งองค์พระศาสดา
สำนักสันติอโศกกลับขยายตัวไปทั่วประเทศอย่างช้าๆ แต่มั่นคง และเต็มไปด้วยบุคคลคุณภาพ ทั้งสมณะ สิกขมาต และญาติธรรม ที่มีความเสียสละอย่างสูง ความมุ่งมั่นในธรรม และวินัยที่เคร่งครัด จนสามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพอย่างหมอเขียว คุณแซมดิน คุณดินนา และอีกหลายๆ ท่าน ซึ่งผมต้องยอมรับในความเป็นยอดมนุษย์ ทั้งคำพูด การกระทำ และสติปัญญา
ชาวอโศกได้สร้างชุมชนต้นแบบขึ้นมากมายในทุกภูมิภาคของประเทศ ต้นแบบของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ที่มีอย่างมั่นคง ชัดเจน และพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีพ่อท่านโพธิรักษ์เป็นเสาหลักแห่งชุมชนอโศก ยืนหยัดเผยแพร่สัจธรรมแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการกระทำที่เป็นตัวอย่างและการเทศนาสั่งสอน
ตั้งแต่การชุมนุมที่สนามหลวงและต่อเนื่องมาถึงการชุมนุมของพันธมิตรฯ 193 วัน และ 158 วัน ฐานเสบียงสำคัญและกำลังหลักที่คอยสนับสนุนการเมืองภาคพลเมืองก็คือเจ้าสำนักสันติอโศกนี่เอง แม้จะต้องอดทนท่ามกลางแรงกดดัน การใส่ร้ายป้ายสี ตามมาด้วยคดีความที่ถูกยัดเยียดให้กับพ่อท่านโพธิรักษ์ แต่ท่านก็ยังแสดงให้เห็นถึงความสงบนิ่ง เยือกเย็น ไม่หวั่นไหว มั่นคงในอุดมการณ์ ศรัทธาในความเป็นมนุษย์ ยึดมั่นในความจริง ความดีงาม และความยุติธรรม
ในการเข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม นำโดยพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 พ่อท่านโพธิรักษ์และชาวอโศกต่างทุ่มเทพลังกาย พลังใจ นำมวลชนญาติธรรมจากทั่วประเทศมาเข้าร่วมด้วยหัวใจดวงเดียวกับมหาชนนับหมื่น นับแสนคนที่ต่างก็มีหัวใจเดียวกันคือยอมสละเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์
คุณแซมดิน ศิษย์เอกที่เป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบการเตรียมงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยภายใน 3 วัน ตั้งแต่เวที เต็นท์ เสบียงอาหาร ห้องสุขา ตลอดจนดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องที่มาร่วมชุมนุมได้อย่างน่าอัศจรรย์ เบื้องหลังคือความเหนื่อยยากสายตัวแทบขาดของชาวอโศก
เมื่อเกิดเหตุปะทะกัน 2 ครั้งในช่วงเช้าและบ่าย 2 โมง มีผู้บาดเจ็บหลายร้อยคน และถูกจับกุมไปอีกกว่าร้อยคน ทั้งที่เป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ ตามรัฐธรรมนูญ
ในช่วงบ่าย 2 โมงของวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้เอง พ่อท่านโพธิรักษ์ได้เข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยยึดมั่นในหลักการแห่งสันติ อหิงสา แต่คนใจสัตว์ในคราบมนุษย์กลับยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ ในขณะที่พ่อท่านโพธิรักษ์และสมณะอีกหลายรูปกำลังนั่งอย่างสงบ จนเกือบเป็นลมหายใจสุดท้ายตามที่ท่านได้เล่าให้ฟังบนเวทีว่าอาการเมื่อใกล้สิ้นลมเป็นเช่นนี้เอง
จนกระทั่งมีคนเอาน้ำไปราดใส่ตัวท่าน แล้วรีบเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่คลุมศีรษะและช่วยกันประคองสังขารวัย 77 ปีของท่านออกมาจากบริเวณนั้นได้ทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่
พ่อท่านโพธิรักษ์ยอมเสียสละขนาดนั้นเพื่อสิ่งใด ทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมในวันนั้นไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ หรือไม่ต่างก็คิดเห็นตรงกัน เพราะหากสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน สิ้นกษัตริย์ ศาสนาจะเหลืออะไร หากคนชั่วปกครองบ้านเมือง ธรรมะอาจต้องพ่ายแพ้ต่ออธรรม
การยุติการชุมนุมของเสธ.อ้าย ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ เพราะพ่อท่านโพธิรักษ์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือการชนะใจตนเอง ชนะความกลัวตาย ทุกคนต่างมาเพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่ตนเชื่อ
พ่อท่านโพธิรักษ์และชาวอโศกคือเสาหลักของพันธมิตรฯ เสธ.อ้ายก็คือพันธมิตรฯ คนหนึ่ง กำลังหลักของการชุมนุมทั้ง 2 ครั้งที่เกิดขึ้นก็คือพี่น้องพันธมิตรฯ จากทั่วประเทศ รวมทั้งญาติธรรมทั่วประเทศของลุงจำลองก็มาร่วมอยู่ในการชุมนุมบนถนนราชดำเนิน เป็นครั้งแรกที่ไม่มีลุงจำลองมาด้วย เพราะท่านก็ต้องเคารพในระเบียบวินัยและมติของพันธมิตรฯ
ผมมาเข้าร่วมกับเสธ.อ้ายโดยไม่ลังเลในครั้งนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มาด้วยความเชื่อและศรัทธาในตนเองซึ่งอาจไม่ตรงกับมุมมองของแกนนำพันธมิตรฯ
พี่น้องพันธมิตรฯ ที่มาเข้าร่วมในวันนั้นอาจกลับไปพร้อมกับความเจ็บปวด ขมขื่นใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดสิทธิและหลักการของกฎหมายสูงสุด ซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ได้มาร่วมแสดงพลังด้วยกัน ตามที่ลุงจำลองเคยบอกว่า “ผมมาด้วยศรัทธาของตนเอง” เช่นเดียวกับพันธมิตรฯ อีกนับหมื่นคนที่แม้ไม่มีป้ายบอก แต่มองตาก็รู้จักกัน
ผมเป็นคนสุดท้ายที่ลงจากเวทีหลังจากผ่านไป 12 ชั่วโมง ส่งทุกคนที่ตกค้าง หลงทาง และพลัดพรากกันให้กลับบ้าน แล้วตามไปเยี่ยมคนเจ็บ สิ่งที่ได้เห็นคือหลายคนน้ำตาคลอเมื่อยามจาก บางคนกัดกรามแน่นด้วยความคับแค้น
รัฐตำรวจได้สถาปนาชัดเจน การจับนักข่าวกระทืบ ยิงแก๊สน้ำตาใส่สมณะอย่างจงใจ ทำร้ายพี่น้องที่ปราศจากอาวุธอย่างป่าเถื่อน สิ่งเหล่านี้พวกเราจะไม่มีวันลืม
แม้ เสธ.อ้ายจะยุติบทบาทแกนนำผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ผมได้ประกาศแล้วว่าจะไม่ยอมสยบต่อพี่น้องทรราชคู่นี้ วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้าย ผมเชื่อว่าสักวันผู้ที่ยึดมั่นในความดีงามจะต้องได้ชัยชนะ
ขอบคุณพันธมิตฯ ทุกท่านที่เสียสละทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ ตากแดด ตากฝน อดทนมาด้วยกัน รวมทั้งสนับสนุนกำลังทรัพย์เพื่อร่วมกันกอบกู้ชาติบ้านเมืองของเรา ขอบคุณเฮียบุ๊งและคณะโรงครัวที่ติดตามดูแลปากท้องพวกเรามาเสมอไม่เคยขาด และขอบคุณในน้ำใจของทุกคนจากใจจริง
แม้จะเหน็ดเหนื่อยก็อย่าท้อแท้ อย่าหมดหวัง จงเชื่อมั่น และศรัทธาในตนเอง อย่างหลงในอัตตาจนกลายเป็นคนวิเศษกว่าคนอื่น และจงเคารพในความเป็นมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียม
ขอคารวะด้วยหัวใจ แด่นักรบแห่งธรรม พ่อท่านโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก
“แพ้เกมชีวีสิ้นดีทุกอย่าง แต่ก็ภูมิใจไม่จาง ที่จิตของเรามิเลวพ่ายตาม
ยังยิ่งยงเป็นใจดวงงาม แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง”
ประพันธ์โดย รักษ์ รักพงษ์ (สมณะโพธิรักษ์)