ตั้งแต่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวที่บริษัท ชลัมเบอร์เจอร์ โอเวอร์ซีส เอส เอ จำกัด (Schlumberger Overseas S.A Limited) ได้นำวัตถุกัมมันตภาพรังสีไว้ในกลางใจเมืองสงขลา ทำให้สังคมได้ตื่นตัวในการตรวจสอบสิ่งที่เป็นอยู่ ในขณะเดียวกันก็มีความพยายามของหน่วยงานราชการที่จะกลบข่าวสารดังกล่าว บอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเป็นสารกัมมันตรังสีที่มีการใช้อยู่ปกติทั่วๆ ไป ดาหน้ากันออกมาปกป้องบริษัทตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่อนุญาตอย่างสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติรวมไปถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่บริษัทดังกล่าวกระทำผิดกฎหมายมากว่า 30 ปี ที่ไม่มีการปิดป้ายเตือนให้ประชาชนได้รับรู้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นแหล่งเก็บสารรังสี รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายไปปฏิบัติการในทะเล ที่ต้องใช้รถบรรทุกขนย้ายไปย้ายมา ไม่มีหน่วยงานใดออกมารับผิดชอบต่อความผิดที่ทางบริษัทได้กระทำลงไป
ความพยายามที่จะกลบเกลื่อนให้เรื่องที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตผู้คน ให้ดูเป็นเรื่องปกติธรรมดา ช่างเป็นความโหดร้ายเลือดเย็นของผู้ที่เกี่ยวข้องยิ่งนัก เพราะเขาเหล่านั้นย่อมตระหนักดีว่าในบริเวณใกล้เคียงรอบๆ สถานที่เก็บสารกัมมันตรังสีดังกล่าวนั้นประกอบด้วยชุมชนที่หนาแน่น (ชุมชนวัดตีนเมรุ) อยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมัธยม โรงเรียนอนุบาล ที่มีกุลบุตรกุลธิดาของคนสงขลาต้องใช้ชีวิตในบริเวณดังกล่าวไม่ต่ำกว่าหมื่นๆ คน และเป็นที่น่าตกใจเมื่อสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติแถลงว่าในพื้นที่จังหวัดสงขลา มีสถานที่เก็บสารกัมมันตรังสีถึง 29 แห่ง และมีอยู่ 800 กว่าแห่งในประเทศ คำถามจึงมีว่าแต่ละแห่งอยู่ตรงไหน มีระบบจัดเก็บ/เคลื่อนย้ายอย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ความพยายามที่จะกลบเกลื่อนข้อมูลของสารกัมมันตรังสี ว่าไม่ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนจึงเป็นเรื่องเลวร้ายขาดความรับผิดชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไม่น่าให้อภัย
ในรอบที่หลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการขยายตัวในการขุดเจาะสำรวจและผลิตก๊าซและน้ำมันในประเทศมากขึ้น ทำให้มีการนำสารกัมมันตรังสีที่มีอานุภาพสูงที่ใช้ประกอบในการระเบิดในขบวนการขุดเจาะมากยิ่งขึ้น การใช้ช่องว่างของพระราชบัญญัติพลังปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 ซึ่งล้าสมัยและยังคงสถานภาพบังคับอยู่โดยไม่มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้ประเทศไทยตกเป็นเป้าหมายของการนำเอาสารกัมมันตรังสี กากสารพิษเข้ามาเก็บไว้ในประเทศไทยจำนวนมาก สร้างความร่ำรวยให้กับบริษัทธุรกิจเอกชนที่ทำมาหากินกับการนำเข้ากากสารพิษมาเก็บไว้ในบ้านเมืองเราจำนวนมาก โดยอาศัยความอ่อนแอของกฎหมายและความเห็นแก่ตัวของนักธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับลูกหลานและบ้านเมือง
รองศาสตราจารย์ ดร.ธวัช ชิตตระการ แห่งภาควิชาฟิสิกส์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ขออาสาเข้าไปตรวจสอบสถานที่เก็บสารกัมมันตรังสีของบริษัทบริษัท ชลัมเบอร์เจอร์ โอเวอร์ซีส เอส เอ จำกัด (Schlumberger Overseas S.A Limited) ที่บ้านเลขที่ 30 ถนนไทรงามกลางเมืองสงขลา แต่ท่านก็ถูกปฏิเสธไม่ให้นำเครื่องมือตรวจวัดสารกัมมันตรังสีเข้าไปในบริเวณดังกล่าว ย่อมเป็นข้อพิรุธที่สำคัญที่ทำให้ผู้คนสงสัยว่าใน 11 หลุมที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวของบริษัทนั้น มีการทำระบบจัดเก็บที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและไม่มีสารรังสีกระจายออกมารอบนอกในขั้นที่จะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนหรือไม่มากน้อยแค่ไหน
โดยปกติคนเราทั่วไปย่อมเคยชินกับสารรังสีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น รังสียูวีจากดวงอาทิตย์ที่ส่งผลต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ แต่ก็สามารถป้องกันได้หรือรังสีที่ไม่ก่ออิออน (Non-ionizing radiation) หรือที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น คลื่นวิทยุ เรดาร์ IR UV ไมโครเวฟ แต่รังสีที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของชีวิตผู้คนที่จะต้องได้รับการจัดเก็บและเคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวังคือ รังสีชนิดก่ออิออน (Ionizing radiation) โดยตรง เช่น แอลฟา บีตา แกมมา เอกซ์ ก่อโดยอ้อม เช่นนิวตรอน ซึ่งในขบวนการจุดเจาะน้ำมันและก๊าซได้นำสารกัมมันตรังสีร้ายแรง เช่น แกมมาและรังสีเอกซ์มาใช้จำนวนมาก คนไทยรู้หรือไม่ว่าพวกคุณเก็บไว้ที่ไหน อย่างที่สงขลากว่าจะรู้ว่าสถานที่จัดเก็บว่าอยู่ติดกับรั้วบ้านก็ปิดเงียบกันมากว่า 30 ปี
ข้อเรียกร้องสำหรับเรื่องนี้อยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกมารับผิดชอบต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชน ให้ปลอดภัยจากสารกัมมันตรังสีที่ร้ายแรงเหล่านี้ได้อย่างไร ขอให้เร่งตรวจสอบว่าบริษัทต่างๆ ที่ได้รับการนำเข้าและจัดเก็บกากสารพิษและสารกัมมันตภาพรังสีร้ายแรงต่างๆ นั้น ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่มากน้อยแค่ไหน อย่าให้เหมือนกรณีที่เกิดขึ้นที่สงขลา ที่บริษัทไม่เคยปิดป้ายบอกผู้คนมาเลยตลอด 30 ปี แต่บรรดาผู้รับผิดชอบฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างดาหน้ากันออกมาปัดความรับผิดชอบหรือปกป้องบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสารอันตรายดังกล่าวกันเป็นพรวน เสมือนการเคาะกะลาแล้วมีฝูงสุนัขวิ่งตามหลังมาแย่งอาหารกันก็ไม่ผิด.